จากที่มีการแชร์ข้อมูลในโลกโซเชียลว่า กาแฟถั่งเช่า ลดอาการปวดข้อ ปวดหลังได้ ซึ่งจะจริงหรือไม่ เพจ Fda Thai ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีคำตอบให้ โดยระบุ กาแฟมีสารสำคัญที่ชื่อว่า กาเฟอีน (Caffeine) โดยกาเฟอีน มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น และมีสมาธิ แต่ไม่สามารถแก้ปวดข้อและหลังได้ ส่วนถั่งเช่า เป็นสมุนไพรที่พบได้บริเวณแถบทุ่งหญ้าบนภูเขาของประเทศจีน นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากหลาย ๆ คนเชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดข้อ และปวดหลังได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง ด้วยยังไม่มีงานวิจัยใดสรุปได้ว่าสมุนไพรถั่งเช่าบรรเทาอาการดังกล่าวได้ ดังนั้น จากข่าวแชร์ที่อ้างว่า กาแฟถั่งเช่า บรรเทาอาการปวดข้อ ปวดหลัง นั้นไม่เป็นความจริง ความจริงแล้วนั้นอาการปวดข้อ และหลังเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลัก ๆ นั้นมาจากการใช้งานที่มากเกินไป และด้วยอายุที่มากขึ้น จึงทำให้อาการปวดรุนแรงมากขึ้น โดยมากแล้ว การรักษาอาการปวดข้อและปวดหลังนั้นสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น กินยา การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น ยาที่บรรเทาอาการปวดมีหลายชนิด เช่น 1. ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) แนะนำให้กินห่างกันอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง และใน 1 วัน ไม่ควรกินยาเกิน 8 เม็ด หรือ 4,000 มิลลิกรัม 2. ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) นาโปรเซน (Naproxen) เป็นต้น โดยตัวยาในกลุ่มนี้มีผลข้างเคียง คือ อาจทำให้ ระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ จึงแนะนำให้กินหลังอาหารทันที และดื่มน้ำตามมาก ๆ และไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย หรือแพ้ยาได้ 3. ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioid) เช่น มอร์ฟีน (Morphine) มีฤทธิ์ระงับปวดรุนแรง ซึ่งยาในกลุ่มนี้ต้องใช้โดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ห้ามหาซื้อยาจากร้านที่มีการลักลอบขายโดยเด็ดขาด เพราะยาในกลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่อันตราย หากใช้ไม่ถูกต้องอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ วิธีที่ดีที่สุด คือไม่ควรหลงเชื่อคำกล่าวอ้างของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพราะอาจทำให้ตกเป็นเหยื่อทางการตลาดได้ นอกจากนี้หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบไปพบแพทย์