วันเวลา เปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน อะไรๆก็เปลี่ยน.. “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พี่ใหญ่ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ดูมั่นอกมั่นใจ มากขึ้น หลังผ่านศึกม็อบสนามหลวง 19-20 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้แบบชิลๆ ไม่มีการบุกทำเนียบฯ ไม่มีการบุกลานพระราชวังดุสิต ไม่มีการกระทบกระทั่งอย่างที่ พล.อ.ประวิตรได้ทำนายไว้ก่อนหน้านี้ จริงๆ ในฐานะที่ดูแลความมั่นคง พล.อ.ประวิตร จึงยิ่งดูมั่นใจในการดูแลสถานการณ์ แม้ว่าฝ่ายกลุ่มประชาชนปลดแอก จะมีการชุมนุมต่อไปเป็นระยะ ๆ ก็ตาม ในช่วงหลังๆมานี้ พล.อ.ประวิตร จึงดูอารมณ์ดี เพราะคุมทุกอย่างได้อย่างเบ็ดเสร็จ แถมทั้ง เป็นช่วงที่ได้ “น้องรัก” กลับคืนมา คนแรกคือ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ที่ระยะหลังๆมานี้ กลับมาเข้าพบเข้าหา พล.อ.ประวิตร เช่นแต่ก่อน คนรอบตัว พล.อ.ประวิตร จึงมักเห็นภาพ พี่ป้อม กับ น้องแป๊ะ เดินจับจูงมือกัน กระซิบกระซาบ กันอยู่เนืองๆ หลังจากที่ ในช่วง ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ทิ้งระยะห่างกับ พล.อ.ประวิตร ด้วยเพราะ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม มาคุมตำรวจเอง แล้วบิ๊กป้อม ก็ไม่ได้อยู่ใน ก.ตร. หรือแม้แต่ กตช. ทั้งนี้เป็น ผลพวงจากความขัดแย้งอย่างหนักของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กับ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่สั่งสม เรื่อยมาจนมาเกิดเหตุยิงรถบิ๊กโจ๊ก และ ทำให้ 2 พี่น้องตำรวจ ที่เป็นน้องรักบิ๊กป้อม ไม่มองหน้ากันเลย ในเวลานั้น พล.อ.ประวิตร ก็ระวังตัว ไม่ติดต่อบิ๊กโจ๊กในทางเปิดเผย งดมาที่บ้านป้ารอยต่อฯ ยกเว้นที่จำเป็นจริงๆ เพราะบิ๊กโจ๊ก เป็นเป้าถูกโจมตี แต่ตอนนี้ “บิ๊กแป๊ะ” ที่กำลังจะเกษียณราชการ ก็แสดงความสนใจที่ อยากจะสมัคร ชิงเก้าอี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและมีแนวโน้มว่า อาจจะลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐ จึงทำให้บรรยากาศความตึงเครียด ระหว่าง บิ๊กแป๊ะ และ “บิ๊กโจ๊กจึงลดระดับลง แม้ว่าจะมีการเช็กบิล พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีตรองผบ.ตร ที่เคยสนิทสนมกับ บิ๊กโจ๊กก็ตาม แต่ บิ๊กโจ๊ก ก็ยังไม่ยอมแพ้ !! หลังการไปพบ วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เพื่อหารือช่องทางกฎหมายที่ จะช่วยให้ กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อสัปดาห์ก่อน ต่อมา บิ๊กโจ๊ก ก็ส่งทนายความฟ้องต่อศาลปกครอง เอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ กรณีย้ายโอนตนเอง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาประจำสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนานถึง 1 ปี 5 เดือนแล้ว แต่ไม่มีการสอบสวนความผิด ทันใดนั้น ก็ถูกมองว่า เกิดความขัดแย้ง อย่างรุนแรง ถึงขั้นที่ บิ๊กโจ๊กฟ้องร้องพล.อ.ประยุทธ์ เลยทีเดียว ที่ทำให้เชื่อกันในเบื้องต้นว่าบิ๊กโจ๊กคงหมดหนทางในการต่อสู้ที่จะกลับไปเป็นตำรวจอีกครั้งแล้วแน่ จึงได้เลือกการฟ้องร้องนายกฯ บ้างก็วิพากษ์วิจารณ์ กันไปถึงขั้นที่ว่า เกิดความขัดแย้งระหว่าง พี่น้อง 2 ป. พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จึงทำให้พล.อ.ประวิตรไฟเขียวให้ บิ๊กโจ๊ก ไปฟ้องร้อง พล.อ.ประยุทธ์ อีกทั้ง พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ได้ตำหนิอะไรบิ๊กโจ๊ก แต่กลับให้สัมภาษณ์สื่อว่า ไม่เรียกคุย เพราะ ถือเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ตนเองไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง และ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเป็นปีแล้ว จนมีการปลุกกระแสเสี้ยม บิ๊กตู่ -บิ๊กป้อม ขึ้นมาอีกครั้ง ! แต่งานนี้ ไม่ใช่เป็นความขัดแย้ง ระหว่าง บิ๊กตู่ กับ บิ๊กป้อม แต่เป็นการหาช่องกฎหมาย เพื่อนำไปสู่การส่งตัว บิ๊กโจ๊ก กลับ สตช. โดยมีการคาดการณ์ว่า บิ๊กโจ๊ก น่าจะได้ไอเดีย จากการที่ไปพูดคุยหารือกับ วิษณุ กูรูกฎหมาย จนนำมาซึ่งการฟ้องร้อง ที่ถือว่า เป็นการทำตามสิทธิ์ เพราะหากไม่ทำอะไรเลย บิ๊กโจ๊ก ก็จะถูกเก็บเข้ากรุแบบนี้ต่อไป จึงเชื่อกันว่า ทั้งหมดนี้ เป็นการเตรียมการมาอย่างดีของ บิ๊กโจ๊ก ที่เชื่อกันว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็น่าจะรับทราบก่อนแล้ว พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่ได้แสดงท่าทีโกรธอะไร แต่ได้แต่กล่าวว่า “ก็ว่าไป เป็นเรื่องของกฎหมาย” แต่ยืนยันว่า มีการตรวจสอบกันแล้วถึงได้ดำเนินการ ดังนั้นต้อง “ให้ฝ่ายกฎหมายว่ากันไป” ขณะที่มีรายงานว่า การที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ฟ้องร้องนายกฯเรื่องคำสั่งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ที่ถูกย้ายมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี นั้น เป็นการฟ้องตามสิทธิ์ตามกฎหมาย เนื่องจากคำสั่งโยกย้ายที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงนาม เมื่อ1 ปี 5 เดือนที่แล้ว ในยุค คสช.นั้น ไม่เป็นธรรม เนื่องจากไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดใดๆ บิ๊กโจ๊ก ก่อนเลย ไม่ว่าจะโดย ป.ป.ท. ,สตช. หรือ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) อีกทั้ง ยังเป็นการย้ายขาดจากต้นสังกัดเดิม ซึ่งถือเป็นการขัดระเบียบ ไม่แค่นั้น ในส่วนของข้าราชการที่ถูกโยกย้ายในคำสั่งเดียวกันกว่า 70 คนนั้น ส่วนใหญ่ได้ถูกสอบสวน และถูกย้ายกลับต้นสังกัดเดิม เกือบหมดแล้ว เหลือแค่ไม่กี่คน รวมทั้ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ด้วย ที่ยังไม่ได้ ถูกส่งกลับหน่วยต้นสังกัดเดิม แต่โดนย้ายมา 1 ปี 5 เดือนแล้ว ยังไม่มีการสอบสวน แต่ไม่ส่งกลับ ดังนั้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จึงได้ฟ้องศาลปกครอง เรื่องคำสั่งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม เพื่อให้มีการแก้ไขคำสั่งใหม่ และทำตามระเบียบให้ถูกต้อง และหวังว่านี่ จะเป็นช่องทางที่ทำให้ถูกส่งตัวกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วิษณุ กล่าวถึง คำสั่งย้ายโอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่า บิ๊กโจ๊ก ใช้สิทธิของเขาไป ในการฟ้องร้องเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดปกติอะไร และไม่เป็นความผิดอะไรด้วย ทั้งนี้ ตามคำสั่ง คสช.ได้ระบุไว้ในบทเฉพาะกาล ซึ่งชื่อของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ อยู่ในบัญชีที่ 5 ซึ่งคนที่อยู่ในบัญชีนี้ หากจะกลับไปต้นสังกัดเดิมได้ ก็ต่อเมื่อปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้รายงานต่อนายกฯ หากนายกฯให้ความเห็นชอบก็นำความกราบบังคมทูลต่อไป ซึ่งหมายความว่า ช่องทางเปิดเอาไว้ จึงไม่ได้ว่า อะไร ทั้งนี้มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ฝากให้วิษณุ พิจารณากรณีของ บิ๊กโจ๊ก ว่าในทางกฎหมาย จะให้ทำอะไรได้บ้าง เพราะ เรื่องคาราคาซัง อยู่แบบนี้ แถมเป็นช่วงที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะเกษียณราชการ อีกด้วย จะว่าไปแล้ว บิ๊กโจ๊ก ก็มีบทบาทสำคัญ ในการช่วยงาน คสช. มาจนถึงการสู้ศึกเลือกตั้ง ของพรรคพลังประชารัฐ ด้วย ก่อนหน้านี้ มีข่าวสะพัด ทำเนียบรัฐบาล ว่า บิ๊กโจ๊ก จะได้กลับ สตช. ไปเป็น ผช.ผบ.ตร. ในโผตำรวจครั้งนี้ แต่ทว่า ก็มีอุปสรรค ไม่ใช่ บิ๊กโจ๊ก จะกลับ สตช.ได้ง่ายๆ เพราะแม้จะมีช่องทางทางกฎหมาย ช่วยได้ แต่ไม่ต้องลืมว่า ฝ่ายตรงข้าม คงไม่ปล่อยให้ บิ๊กโจ๊ก ได้กลับมามีอำนาจ ได้กลับมาเป็นตำรวจได้ง่ายๆ เพราะรู้กันดีว่า กรณีการที่นายกฯ ย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นั้นมีเหตุผลพิเศษอื่นด้วย จึงน่าจับตามองยิ่งว่า พี่น้อง 2 ป. จะช่วย บิ๊กโจ๊ก ได้หรือไม่ เพราะแม้อยากจะช่วยเหลือ แต่ นายกฯตัดสินใจคนเดียวไม่ได้ เพราะการกลับมาเป็น แมวเก้าชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย เลย แต่ ใช่ว่า จะเป็นไปไม่ได้ !!