ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “อำนาจแห่งปัจจุบันขณะ...สามารถสรรค์สร้างและค้ำยันสรรพชีวิตให้หยัดยืนอยู่กับความมุ่งหวังอันจริงแท้...มันคือต้นรากแห่งใจในการกำหนดทิศทางสู่นัยวิถีแห่งความตระหนักรู้อันยิ่งใหญ่ที่ไม่เชื่อมโยงกับอนาคตและพันผูกติดยึดอยู่กับอดีต...แต่มันคือแรงเหวี่ยงแห่งเจตจำนงที่จะทำให้สรรพสิ่งเติบโตในคุณค่าที่เป็นอยู่นั้น...ได้เป็นไปในทิศทางที่เปิดกว้างแต่ล้ำลึกต่อการเรียนรู้อันยากจะปฏิเสธ...ทิศทางของอำนาจแห่งปัจจุบันจึงทวีคูณขึ้นด้วยศรัทธาที่แฝงฝังอยู่กับแก่นแท้อันเป็นศรัทธาของการเรียนรู้ที่แยบยล...ผ่านการเพ่งพินิจอย่างละเอียดต่อชีวิต และผ่านการใคร่ครวญในมิติของปัญหานานาอย่างรอบด้าน...” สาระทางความคิดเบื้องต้นคือสัญญะแห่งการอธิบายความต่อประเด็นสำคัญของหนังสือที่ทรงคุณค่าต่อโลกแห่งผัสสารมณ์อันเป็นที่สุด...ท่ามกลางวังวนแห่งเจตจำนงที่เปิดเปลือยจากฐานคิดอันไม่รู้จบรู้สิ้น “The Power Of Now”(พลังแห่งจิตปัจจุบัน:ทางสู่การตื่นรู้และเยียวยา)...งานเขียนของ”เอ็กค์ฮาร์ท โทลเล”(Ecchart Tolle)..ที่ได้รับการยกย่องจากผู้อ่านทั่วโลกมากมายว่า เป็นมากกว่าหนังสือ...เนื่องเพราะมีพลังขับเคลื่อนสู่การสร้างพลังชีวิตมากมายแฝงฝังอยู่...โดยเฉพาะพลังที่มอบประสบการณ์มากมายต่อการดำรงยู่ที่เราสัมผัสได้...อันถือเป็นพลังที่โน้มนำให้ทุกๆคนสามารถที่จะค้นพบวิถีแห่งการเยียวยาชีวิตที่เปราะบาง...ให้รู้สึกสัมผัสต่อการที่จะก้าวไปสู่พื้นที่แห่งชีวิตที่ดีกว่า...ผ่านการตระหนักรู้ที่ว่า...”ทุกขณะของชีวิต ช่างน่าอัศจรรย์นัก”...โดยอิงอยู่กับองค์ความรู้ของผู้เขียนที่มีผัสสะร่วมต่อการศึกษาใคร่ครวญในประเด็นสำคัญและมีคุณค่าของทุกๆศาสนา...นั่นหมายถึงว่า..แก่นแท้แห่งหัวใจใหญ่ของทุกศาสนาได้ถูกตีความและอธิบายความไว้อย่างเข้มข้นและหนักแน่นอยู่ในหนังสือเล่มนี้...ด้วยภาษาสื่อสารที่เรียบง่ายและแจ้งชัดสู่มิติอันเป็นข้อสรุปถึงว่า.. “หนทางแห่งความจริงแท้และปัญญา ล้วนอยู่ในตัวเราทุกคนทั้งสิ้น” นั่นคือสัจธรรมแห่งการค้นหา ที่ผู้อ่านทุกคนต้องไขว่คว้าหามาด้วยสัมผัสรู้อันเจิดกระจ่างแห่งจิตวิญญาณโดยแท้..นับแต่ข้อคิดที่เป็นหลักต่อการตีความอันเป็นประโยชน์สุขที่ครอบคลุมตารางชีวิตของเราทุกคน..นับแต่...../คุณไม่ใช่ความคิด.../ความรู้ตัวคือ หนทางพ้นทุกข์/...ลึกลงสู่ปัจจุบัน/...กลวิธีของจิตเพื่อหลีกหนีปัจจุบัน/..จิตปัจจุบัน/..กายภายใน/..ประตูสู่โลกที่ไม่ปรากฏ/...สร้างสัมพันธ์ด้วยจิตตื่นรู้/..เหนือสุขและทุกข์มีความสงบ/..กระทั่ง...”ความหมายของศิโรราบ” รายละเอียดของบทเรียนจากหลักคิดทั้งหมดนี้ ล้วนส่งผลให้ประตูหัวใจได้เปิดกว้าง..หน้าต่างของสมองเปิดรับสายลมแห่งการพินิจพิเคราะห์...และสายทางแห่งปัญญาญาณล้วนเจิดกระจ่างเพื่อส่องนำวิถีคิดและการปฏิบัติ.. ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือฐานรากอันเป็นข้อกำหนดถึงว่า...แท้จริงแล้ว “จิตปัจจุบัน” คือภาวะความหมาย ของความรู้ตัวทั่วพร้อม เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถที่จะฝึกฝนเรียนรู้ ผ่านการเฝ้าดูความคิดเพื่อที่จะแยกแยะความคิด กับ ความรู้สึก ออกจากตัวตนของเรา และค่อยๆสร้างวิถีทางให้ไปเชื่อมโยงถึงจิตเดิมแท้...อันหมายถึงการตื่นรู้..ซึ่งแท้ที่จริง การตื่นรู้ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ตามที่ทุกคนเข้าใจ..ไม่ใช่เรื่องของสิ่งเกินจริง ที่เกิดขึ้นได้จากผู้ที่มีอำนาจพิเศษ เช่นศาสดา หรือ พระผู้เป็นเจ้า...แต่ในนัยที่แท้จริงแล้ว..การตื่นรู้คือสมบัติที่คนทุกคนสามารถที่จะค้นพบได้...ทั้งนี้เพราะจิตเดิมแท้ซึ่งไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยธรรมชาตินั้น เป็นสิ่งอันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวเราทุกๆคน... ดั่งนั้นเราจึงสามารถที่จะตื่นรู้ได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้...ขอเพียงแค่รู้วิธี.. อย่างไรก็ตาม ...มีอุปสรรคสำคัญบางอย่างที่มีผลต่อการตื่นรู้...เป็นอุปสรรคที่กั้นขวางตัวตนของเรากับการตื่นรู้นั้นๆ...นั่นคือ”ความคิด”ซึ่งเราทุกคนมักไม่รู้ว่า ตัวเองกำลังคิด...เหตุนี้ความคิดจึงกลายเป็นตัวเราไปโดยปริยาย..เป็นเหตุให้การยึดติดกับความคิดนั้น กลายเป็นการตัดสินผู้อื่น...สร้างอัตตาอันหมายถึงตัวตนจอมปลอมขึ้นมา..แล้วอัตตานั้นก็จะแสดงบทบาทโดยการปิดกั้นเราจากผู้อื่น...ส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่ตกเป็นทาสของความคิด...ถูกความคิดครอบงำ...จนหลงเชื่อไปว่า...”ความคิดนั้นคือตัวตนของเรา” ความคิดจึงเป็นดั่งศัตรูและอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการพัฒนาในเชิงจิตวิญญาณให้ก้าวย่างสู่ความบริสุทธิ์....จริงๆแล้วจึงจำเป็นต้องแยกความคิดออกจากตัวเรา ซึ่งก็สามารถทำด้วยวิธีง่ายๆ โดยวิธี”เฝ้าดูตัวคิด”...คือวิธีการแห่งการฝึกฟังเสียงในใจ คอยสังเกตความคิดที่วิ่งวนอยู่ในหัวของเรา...ขณะเดียวกันก็ต้องรับรู้ว่า “มีผู้สังเกต”..อันหมายถึงตัวเราเองดำรงอยู่...เมื่อฝึกการกระทำเช่นนี้..พลังของความคิดจะลดน้อยลง เพราะเราย่อมรู้แล้วว่า..ความคิดกับเนื้อแท้ของตัวเรานั้น สามารถแยกออกจากกันได้..กระทั่งตระหนักว่า ความคิดไม่ใช่ตัวเรา อันจะส่งผลให้เราเป็นอิสระในที่สุด... นอกเหนือจากการเฝ้าดูความคิด หนทางที่จะช่วยดึงจิตออกจากความคิดอีกวิถีหนึ่งก็คือ..การพุ่งความสนใจมุ่งไปที่ปัจจุบันขณะ หรือที่เรียกกันว่าการทำสมาธิ..อันหมายถึงการกำหนดจิตใจให้จดจ่อกับปัจจุบันจนเกิดความว่าง และบังเกิดพลังของจิตที่แยกออกจากความคิดได้..เหตุนี้ ทั้งการเฝ้าดูความคิด ตลอดจนการทำสมาธิจึงสามารถที่จะฝึกฝนได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดรู้ขณะก้าวเดิน การทำงานบ้าน หรือการทำกิจกรรมอื่นๆ..การฝึกจิตในท่วงทำนองต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้จิตแยกออกจากกระแสที่ไหลวนของความคิดที่เรียกว่า “จิตว่าง”..แม้อาจเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ตาม...แต่เมื่อบังเกิดสภาวะนั้นขึ้นมาจิตใจจะรู้สึกสว่าง สงบ เป็นหนทางแห่งการเกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั้นจะอยู่เหนือความคิด...เราทุกคนจึงมักจะสงสัยว่า..จะดำเนินชีวิตโดยปราศจากความคิดได้อย่างไร?..ในความเป็นจริงยังคงปรากฏว่า.การดำเนินชีวิตยังคงต้องมีความคิดอยู่ เพียงแต่ว่าเราต้องเป็นนายของมัน ให้คิดเท่าที่จำเป็น...คิดโดยไม่ปรุงแต่งปัญญา..ส่วนการตื่นรู้คือระดับของจิตสำนึกที่อยู่เหนือความคิด...มันคือการที่เรายังคงคิด แต่เป็นการคิดที่มีประสิทธิภาพ คิดเพื่อจุดประสงค์ในการปฏิบัติ คิดอย่างมีพลังแห่งความสร้างสรรค์...ไม่ใช่การคิดโดยมีพื้นฐานที่ยึดติดกับอัตตาหรือตัวตนเหมือนเช่นเดิม ที่สุดแล้ว..จึงได้ข้อสรุปว่า..บรมครูทุกสายทางด้านจิตวิญญาณล้วนต่างพากันชี้แนะว่า..”ปัจจุบันคือกุญแจสำคัญ ต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ...ทั้งนี้ก็เพราะว่าอดีตกับอนาคตนั้นไม่มีจริง...มีแต่ปัจจุบันที่ดำรงอยู่..การเฝ้าสังเกตตัวเองคือหนทางที่จะช่วยเราให้ “รู้เนื้อรู้ตัว”โดยอัตโนมัติ...ดั่งนั่นเราทุกคนจึงต้อง รอเฝ้าดูจิต เฝ้าดูความคิด และสังเกตตัวเองว่า..บ่อยแค่ไหนที่เราเคยปล่อยให้ใจลอยไปกับอดีตและอนาคต... สภาวะที่เราเฝ้าดูความคิด โดยรับรู้ว่ามีตัวเราเป็นผู้เฝ้าดูนั้น...เรียกกันว่าเป็นสภาวะแห่งการรู้ตัวทั่วพร้อม...สภาวะเช่นนี้จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ เมื่ออัตตาหรือตัวตนของเราถูกคุกคาม...การโดนดูถูก เหยียดหยามจะทำให้ตัวเรา มักที่จะมีแนวโน้มของการขาดความรู้สึกตัว หรือไม่เท่าทันจิต แต่สภาวะของการรู้ตัวทั่วพร้อมจะทำให้พลังของอัตตาและตัวตนนั้นลดลง เกิดพลังแห่งสติที่ระลึกรู้ขึ้นทดแทน..และจะก้าวสู่ปัจจุบันขณะในระดับที่ลึกขึ้นต่อไป ครั้นเมื่อเราฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอก็สามารถใช้ในทางปฏิบัติ...ซึ่งจะช่วยให้การคิดและการปฏิบัติต่างๆเฉียบแหลมขึ้น อีกทั้งจักปราศจากตัวตนหรืออคติส่วนตน...เมื่อเราละทิ้งตัวตนปัญหาทุกอย่างจึงเป็นเพียงสิ่งสมมติ พลังแห่งความทุกข์และพลังด้านลบนั้น หยั่งรากด้วยกาลเวลา เมื่อใช้เวลาทางจิตไปกับปัจจุบัน เราจะไม่พบว่าปัจจุบันนั้นมีปัญหาอะไร...เพราะปัจจุบันไม่ใช่อีกห้าหรือสิบนาทีข้างหน้า แต่เป็นเดี๋ยวนี้ ครั้นเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ชีวิตที่ยุ่งยาก...ขอให้เราแยกตัวเองออกมา เฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น รับรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง แล้วเราจะพบว่า..มันเป็นเช่นนั้นเอง จิตของเราขยับลงลึกไปถึงปัจจุบัน.. ในความเป็นจริงที่แท้..เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างลึกและถี่ถ้วน...เราก็จะค้นพบรหัสนัยของความประจักษ์แจ้งแห่งความหมายของภาวะอันสำคัญที่ว่า..แท้จริงอันเป็นที่สุดแล้ว ชีวิตหาได้ตัดขาดจากอดีตและอนาคตไม่..หากแต่เราได้ใช้อดีตเพื่อการเรียนรู้เป็นประสบการณ์ โดยอาศัยเวลาตามนาฬิกา ครั้นเมื่อจบภารกิจก็จะกลับสู่ภาวะแห่งปัจจุบันขณะ นั่นคือเวลาทางจิต การคิดคร่ำครวญเสียใจ รู้สึกผิดกับสิ่งที่ผ่านมา เป็นข้อควรระมัดระวัง เพราะนั่นหมายถึงว่าเราได้ใช้เวลาทางจิตไปกับเรื่องในอดีต ส่วนอนาคตนั้น เราสามารถตั้งเป้าหมายชีวิตได้ตามเวลานาฬิกา แต่ยังให้ความสำคัญกับปัจจุบัน ขณะก้าวเข้าสู่จุดหมาย เมื่อใดก็ตามที่เรามุ่งไปถึงปลายทางจนลืมความงดงามในขณะที่ก้าวเดิน นั่นอาจหมายถึงว่า..เราได้ลืมปัจจุบันขณะ และใช้เวลาทางจิตไปกับอนาคตที่ต้องการสร้างตัวตนปลายทาง “ในระหว่างฝึกฝนเราจะพบกับภาวะอารมณ์ต่างๆมากมาย ที่จะชวนให้เกิดการอึดอัดและคับข้องใจ นั่นคือการต่อสู้กับความคิดและอัตตา รวมทั้งการเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยตนเอง... สิ่งที่เรารู้สึกคืออารมณ์ที่ตกค้าง ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีในตัวเรา จนเราได้เพ่งมองเข้าไป...จงใส่ใจกับอาการนั้น สำรวจว่าตัวตนยึดติดกับอารมณ์จำพวกใด มีการตำหนิติเตียนหรือการโกรธเคืองหล่อเลี้ยงอารมณ์หรือไม่..ถ้ามีก็เป็นไปได้ว่าเรายังมีเรื่องค้างใจอยู่ เรื่องค้างใจที่ยังไม่ได้ให้อภัยต่อผู้อื่น หรือไม่ได้ให้อภัยแก่ตนเอง...การให้อภัยคือการปลดปล่อยและเลิกต่อต้านชีวิต” นี่คือหนังสือที่มีคุณค่าต่อการบำรุงจิตใจแห่งปัญญา ผ่านการรับรู้ที่แทรกผ่านเปลือกแข็งของอคติ...การสร้างเสริมตัวตนด้วยพลังแห่งจิต ณ ขณะหนึ่งอันสมบูรณ์ ถือเป็นการแผ้วถางที่ทางแห่งจิตปัญญาให้บานสะพรั่งต่อการเรียนรู้ รับรู้ และรู้สึกเพิ่มขึ้น..กระทั่งไม่มีสิ่งใดที่จะเสริมส่งจิตใจให้เติบโตสู่ความกล้าแกร่งได้เท่ากับปัญญาญาณอันอ่อนโยนแต่แข็งแกร่งด้วยสำนึกอันเกิดแก่ศรัทธาสู่ตัวตนอันสมบูรณ์นี้...มันคือการบรรลุถึงการศิโรราบ...ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาด้านลึกที่เรียบง่าย...ลุ่มลึกด้วยพลังแห่งการยอมมากกว่าต้าน...การยอมในที่นี้หมายถึงการยอมต่อปัจจุบันขณะอย่างไร้เงื่อนไข..ไม่มีพลังเชิงลบในปัจจุบันขณะที่พบเจอ...แต่สภาวะแห่งจิตจะน้อมรับปัจจุบันอย่างไร้เงื่อนไข...”เมื่อศิโรราบ...เราจะไม่ต้องการกลไกใดๆเพื่อป้องกันตัวเองอีก...” “The Power Of Now”...ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ประเทศแคนาดาและถูกแปลเป็นภาษาต่างๆทั่วโลกถึง33ภาษา มีผู้ได้อ่านจำนวนมากมายที่สื่อสารถึงผลลัพธ์ อันรื่นรมย์ต่อใจอันซัดส่ายที่คืนกลับสู่อำนาจของตัวตนที่ได้คิดและสงบงามในที่สุด/”พรรณี ชูจิรวงศ์”ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง...ดั่งบทเรียนที่ขยายขอบเขตของการเรียนรู้ให้งดงามและสูงส่ง..ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่จบสิ้น “ผู้ที่มีปัญญานั้น ต้องมีสมาธิจิตจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ในขณะเดียวกันก็ต้องรับรู้มิติของเวลาควบคู่ไป นั่นคือเรายังใช้เวลาทางโลกดำเนินชีวิต...แนวทางการฝึกคือการวางแผนเวลาของชีวิตตามเวลาทางโลก เมื่อทำภารกิจต่างๆเสร็จสิ้น ให้กลับเข้าสู่เวลาทางจิต...นั่นคือ ปัจจุบันขณะ เพื่อหลีกเลี่ยงการยึดโยงกับทั้งอดีตและอนาคต.........”