จากกรณี ศาลอาญาได้พิจารณาออกหมายจับ นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย กับพวก ในความผิดฐานยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง ทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (2) ตามคำร้องของพนักงาสอบสวนกองปราบปราม ในกรณีที่ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วยทีมกฎหมายได้เข้ามาแจ้งความดำเนินคดี ต่อมาเมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา นายองอาจ ได้เดินทางมอบตัวกับพนักงานสอบสวนที่กองบังคับการปราบปราม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 มิ.ย. ที่ กองบังคับการปราบปราม นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย พร้อมด้วยทนายความส่วนตัว เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.ศรสุพรรณ อดทนศรีอนันต์ รองสว(สอบสวน) กก.2 บก.ป. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม นายองอาจ กล่าวว่า วันนี้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม หลังทางพนักงานสอบสวนได้แจ้งว่า เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เข้าแจ้งข้อหาเพิ่มเติมอีก 1 ข้อหา คือ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3) โดยมีนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความร่วมเดินทางมาด้วย โดยก่อนหน้านี้ตนได้เคยเข้ามารับทราบกล่าวหาใน มาตรา 116 (2) ไปแล้ว นายองอาจ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนได้ให้การกับพนักงานสอบสวนและนำพยานหลักฐานต่างๆ มามอบให้พนักงานสอบสวนแล้ว ส่วนพฤติการณ์ที่มีการกล่าวหาเพิ่มเติมนั้น จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องเดิมที่เคยมีการกล่าวหา หลังจากนี้ก็คงต้องดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายต่อไป ตนขอยืนยันอีกครั้งผ่านสื่อมวลชนไปยังพี่น้องประชาชน ว่าการทำหน้าที่ของตนในฐานะโฆษกศิษยานุศิษย์ฯ ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ถึงปัจจุบัน ยังยืนยันว่าไม่ได้ปรารถนาเลยที่จะปลุกปั่น ปั่นป่วน ให้ประชาชนละเมิดกฎหมายแผ่นดิน “การทำหน้าที่ทุกครั้งที่ผ่านมา กระทั่งข้อมูลต่างๆ ที่ได้เคยแถลงข่าวไปนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เชื่อว่าเป็นความจริงโดยสุจริต ไม่ต้องการหมิ่นประมาท หรือต้องการทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในประเทศชาติ แต่ในทางกลับกัน ที่ปรารถนาสูงสุดเลย คือความต้องการให้เกิดการแก้ไขให้ถูกต้อง ให้เกิดความสงบเรียบร้อย แสดงความรู้สึกนึกคิดแทนพี่น้องประชาชนกลุ่มหนึ่งคือคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย” นายองอาจ กล่าว นายองอาจ กล่าวอีกว่า ตนอยากให้เจ้าหน้าที่รัฐได้รับรู้ รับทราบ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง จึงต้องขอยืนยันอย่างนี้ และพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 (2) นั้น ก็ว่าด้วยการยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เป็นข้อหาเดิม สำหรับข้อกล่าวหาเพิ่มเติม คือความผิดตามมาตรา 116 (3) ก็คือทำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย ซึ่งตนขอปฏิเสธอีกครั้งว่าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเลย เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมสอบปากคำเพื่อประกอบสำนวนคดี ก่อนที่จะปล่อยตัวกลับ อย่างไรก็ตามหากสำนวนคดีเสร็จแล้วก็จะส่งให้กับอัยการเพื่อทำการสั่งฟ้องต่อไป