ลีลาชีวิต / ทวี สุรฤทธิกุล
บางคนเปลี่ยนแปลงชีวิตจากสิ่งไม่ดีมาเป็นสิ่งดีก็ได้
กองร้อยรักษาการณ์ที่อภิชาติประจำอยู่เป็นกองร้อยที่มีจำนวนกำลังพลมากที่สุด คือน่าจะมีทหารทั้งที่เป็นทหารประจำการและพลอาสาสมัครหรือทหารเกณฑ์นี้อยู่รวมกันกว่า 2,000 คน หน้าที่หลักคือเฝ้าสนามบินและดูแลรักษาความปลอดภัยในทุกกระเบียดนิ้วของกองบิน ทั้งยังเป็น “หน่วยรบ” คือเป็นกองกำลังที่ติดอาวุธ “เต็มอัตราศึก” ที่มีชื่อเรียกว่า “อากาศโยธิน” ดังกล่าว
อภิชาติต้องเข้าเวรรักษาการณ์วันเว้นวัน โดยการเข้าเวรจะมีวันละ 3 ผลัดๆ ละ 8 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 8.00 – 16.00 น.เป็นผลัดแรก 16.00 – 24.00 เป็นผลัดที่สอง และ 24.00 – 8.00 เป็นผลัดที่สามตามลำดับ การเข้าเวรสามารถ “ซื้อผลัด” หรือแลกเวรกันได้ โดยการใช้สิ่งของหรือค่าจ้างแลกเปลี่ยน แต่เดือนหนึ่งต้องเข้าเวรให้ครบตามจำนวนที่ผู้บังคับบัญชากำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการซื้อผลัดในเวรกลางคืนกันเป็นปกติ และอภิชาติก็ชอบที่จะ “ขายผลัด” คือแลกเวรกับเพื่อนๆ เพื่อที่จะ “ประกอบธุรกิจ” บางอย่างในเวลากลางคืนนั้น
ธุรกิจที่ขายดีที่สุดน่าจะเป็น “น้ำแดง” ซึ่งความจริงนั้นก็คือ “เหล้าเถื่อน” โดยปกติเหล้าขาวหรือเหล้า 40 ดีกรีที่ขายๆ กันในร้านค้าทั่วไปจะมีสีใสๆ แต่ที่กองบิน 1 จะมีสีแดง เพราะต้องเจือสีผสมอาหารสีแดงลงไปด้วย และจะต้องบรรจุในถุง ขายเป็นถุงๆ เท่านั้น นัยว่าเพื่อ “ตบตา” ผู้คนไม่ให้เป็นที่สงสัย เวลาที่ยกหลอดขึ้นดื่มจะได้ดูเหมือนดูดกินน้ำหวานธรรมดา ซึ่งการขายน้ำแดงนร้ทำกันมาตั้งแต่ “ดึกดำบรรพ์” คือไม่มีใครจำได้ว่าทำขายกันมาตั้งแต่เมื่อไร ทั้งนี้อภิชาติสามารถขายได้วันหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 20 ถุง ราคาขายถุงละ 10 บาท (ในขณะที่น้ำหวานที่ขายทั่วไปถุงละ 1 บาท) มีกำลังถุงละ 4 บาท วันหนึ่งๆ จึงมีกำไรเกือบร้อยบาท
นอกจากนั้นอภิชาติยังหา “ของป่า” มาขายเป็นประจำ โดยจะหมุนเวียนไปตามฤดูกาล เช่น ในหน้าฝนก็จะมีเห็ดโคนหรือเห็ดปลวกเป็นหลัก แต่ก็มีขายอยู่เพียง 10 – 15 วัน รวมถึงเห็ดอื่นๆ ที่ผู้คนนิยมรับประทาน เช่น เห็ดระโงก(ภาคกลางเรียกว่าเห็ดตับเต่า) และเห็ดกระด้าง(ภาคกลางน่าจะเรียกว่าเห็ดขอน เพราะชอบขึ้นตามขอนไม้ รสสัมผัสค่อนข้างเหนียว แต่ถ้าเอามาต้มแล้วสับทำเป็นลาบเห็ดจะมีรสอร่อยมาก) ที่มีขายเป็นประจำก็คือพวกสัตว์และแมลงต่างๆ พวกแมงจีนูน กิ้งก่า แย้ เป็นอาทิ บางครั้งก็ได้สัตว์ใหญ่อย่างแลน(ภาคกลางเรียกว่าตะกวด) อีเห็น(ชะมดชนิดหนึ่งอยู่ตามต้นไม้ใหญ่) รวมถึงบ่าง(ที่เหมือนกระรอกแต่มีปีกบินได้) กระรอกและกระแต(สัตว์จำพวกกระรอกชนิดหนึ่งแต่มีขนาดใหญ่กว่า) ซึ่งพวกคอเหล้านิยมไปทำเป็นกับแกล้ม นอกจากนั้นก็มีนกต่างๆ เช่น นกกระจาบ นกเขา นกคุ้ม และนกเปล้า ซึ่งใช้หนังสะติ๊กยิงเอา
บริเวณรอบๆ สนามบิน ส่วนหนึ่งมีการปลูกมันสำปะหลังนับร้อยๆ ไร่ มีไผ่และไม้ป่าต่างๆ ขึ้นมากมาย บางครั้งที่หาสัตว์ต่างๆ ไม่ค่อยได้ อภิชาติก็จะเก็บผักเก็บหญ้าต่างๆ มาขาย ที่ขายดีก็พวกใบติ้ว(ไม้พุ่มขนาดกลางมีรสเปรี้ยว) ใบกระโดน(ไม้พุ่มขนาดกลางมีรสฝาด) และหน่อเพ็ก(หน่อไม้เล็กๆ จากต้นเพ็ก คล้ายต้นไผ่แต่มีขนาดเล็กมาก สูงราวๆ อกผู้ใหญ่ มีอยู่ทั่วไปตามราวป่า) บางทีก็มีหัวมันที่แอบขุดจากไร่ในสนามบิน รวมถึงพืชผักอื่นๆ ที่ครอบครัวของนายทหารในกองบิน(ที่จริงก็คือใช้กำลังพลของทหารเกณฑ์นั่นแหละปลูกเพาะและดูแล) ไม่เว้นเป็ดไก่ที่เอามาขายด้วยในบางครั้ง โดยอ้างว่าไม่รู้เป็นเป็ดไก่ของใคร เพราะเจอและจับได้ในป่า
อภิชาติเป็นที่รักของผู้บังคับบัญชา เวลาที่ได้ออกเวรและกลับไปเยี่ยมบ้านเดือนละครั้ง พอกลับมาก็จะเอาของฝากจำพวกพืชผักผลไม้จากไร่ของอภิชาติเองมาให้ผู้บังคับบัญชาทีละมากๆ ทุกครั้ง ที่จริงเป็นแผนการของอภิชาตินั้นเองที่จะได้เอาผัก “หญ้า” และอาหารบางอย่างมาขายให้กับกำลังพลในกองบิน โดยเฉพาะของที่สุมเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย เช่น กัญชา และ “สินค้าตามสั่ง” บางอย่าง ซึ่งมีนายทหารบางคนสั่งซื้อ แม้กระทั่งนายร้อยที่จบมาจากนายเรืออากาศใหม่ๆ และมาบรรจุที่กองบิน 1 นี้ก็ยังแอบใช้บริการของอภิชาติอยู่บ่อยครั้ง โดยที่ไม่ได้เป็นภาระกับอภิชาติอะไรมากนัก เพราะพ่อของเขาเป็นกำนันที่พอจะมีเส้นสายในทางการเมือง เพราะเป็นหัวคะแนนให้กับนักการเมืองในจังหวัด ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่และได้ร่วมเป็นรัฐบาลอยู่เป็นประจำ
อภิชาติรอดจากปากเหยี่ยวปากกา ไม่เจอข้อหาทางอาชญากรรมใดๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ เพราะผู้คนในกองบินก็พอรู้ว่าอภิชาติเป็นหัวโจกใน “ธุรกิจมืด” เหล่านั้น โดยในตอนที่อภิชาติจะครบวาระการเป็นทหารเกณฑ์ในปีที่ 2 ผู้บังคับบัญชายังได้เสนอให้อภิชาติรับโควตาเข้าโรงเรียนจ่าอากาศเพื่อมีอาชีพทหารต่อไป แต่พ่อของอภิชาติบอกว่าออกมาอยู่บ้านดีกว่า จะได้ออกมาช่วยพ่อ “ทำมาหากิน”
ผมไม่ได้ข่าวคราวอภิชาติอีกเลยหลังจากที่ผมได้ปลดประจำการออกมา แต่ก็ทราบจากทหารเกณฑ์ร่วมรุ่นบางคนที่ยังติดต่อกับอภิชาติอยู่บ้าง บอกว่าอภิชาติทำมาหากินขยันขันแข็งมาก แต่ไม่ได้ประกอบธุรกิจมืดอย่างที่เคยเล่าขานกัน อภิชาติมาช่วยพ่อทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่ทำเงินดีมากก็คือทำถนนและขุดบ่อขุดสระ ซึ่งเป็น “งานหลวง” ที่มีงบประมาณแผ่นดินจัดสรรออกมาตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ถนนและสระน้ำที่บริษัทของอภิชาติไปรับงานมาล้วนแต่รักษามาตรฐานที่เชื่อถือได้ (รวมถึงมาตรฐานในการจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางหรือค่าใต้โต๊ะ “น้ำร้อนน้ำชา” ต่างๆ นั้นด้วย) จึงได้รับงานจัดงบมาให้อยู่เป็นประจำ
อภิชาติมีภรรยาหลายคน บ้างก็ว่า 3 คน บ้างก็ว่า 4 – 5 คน และมีลูกอีกหลายคน อภิชาติให้ลูกๆ เรียนสูงๆ จนจบปริญญาทุกคน และที่สำคัญทุกคนต้องเรียน รด. เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหาร แล้วไปพบกับชีวิตที่ “น่าเป็นห่วง” อย่างที่พ่อเคยเป็น
ผมได้ข่าวอภิชาติครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว( พ.ศ. 2562) ในตอนที่มีเลือกตั้งใหญ่ จากเพื่อนของผมคนหนึ่งที่ไปลงสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดนครราชสีมา ทราบว่าอภิชาติยังคงเป็นหัวคะแนนใหญ่ให้กับพรรคการเมืองพรรคเดิมที่เคยทำกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อ โดยอภิชาติเองก็ได้เป็นกำนันสืบต่อมาจากพ่อของเขานั่นเอง ทั้งนี้พรรคการเมืองพรรคนั้นเคยเสนอให้อภิชาติลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยรับรองว่าจะได้เป็น ส.ส.อย่างแน่นอน แต่อภิชาติปฏิเสธและเลือกที่จะมีตำแหน่งแค่ “กำนันเล็กๆ” นั้นต่อไป
ผมเลยนึกถึงคำคมที่อภิชาติเคยพูดกับผมบ่อยๆ “เป็นหัวหมา ดีกว่าเป็นหางราชสีห์”