MEA แนะนำหากพบว่าสายไฟฟ้าพาดอยู่กับรถยนต์ ขั้นแรกจะต้องควบคุมสติไม่ตกใจ อย่าผลีผลามออกไปนอกรถทันทีเพราะการอยู่ในรถปลอดภัยที่สุด สำรวจตรวจสอบสภาพภายนอกรถและบนพื้นถนนว่ามีสายไฟฟ้าพาดหรือแตะสัมผัสส่วนหนึ่งส่วนใดของตัวรถ หรือมีสายไฟฟ้าพาดอยู่บนพื้นถนนที่เปียก ใกล้ ๆ รถหรือไม่ กรณีรถยนต์เสียใช้การไม่ได้ หรือรถกำลังเกิดเพลิงไหม้จำเป็นต้องออกนอกตัวรถ ให้ปฏิบัติตามดังต่อไปนี้ 1.อย่าก้าวเท้าลงจากรถเป็นอันขาด ต้องใช้วิธีกระโดดลอยตัวลงจากรถให้ห่างจากตัวรถโดยมีวิธีการลงสู่พื้นให้ปลอดภัย ดังนี้ - ลงสู่พื้นด้วยเท้าข้างเดียวหรือด้วยเท้าสองข้างแต่ต้องให้เท้าชิดกัน - ขณะเท้าแตะพื้น มือเท้าและร่างกายต้องไม่แตะส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวรถ 2.เมื่อลงจากรถและเท้าแตะพื้นแล้ว ให้ออกห่างจากตัวรถและสายไฟให้มากที่สุด วิธีออกห่างที่ปลอดภัย คือ ให้ค่อย ๆ ขยับเดินลากเท้าโดยให้เท้าทั้ง 2 ชิดกัน (อาจใช้วิธีกระโดด 2 เท้าพร้อมกัน) ห้ามเดิน ก้าวเท้ายาวหรือวิ่ง เพื่อไม่ให้ถูกไฟดูดจากพื้นดินด้วยแรงดันช่วงก้าว (step voltage) 3. เมื่อลงจากรถได้แล้ว อย่ากลับเข้าใกล้รถอีก (เช่น อย่าพยายามดับไฟไหม้รถหรือไปหยิบของมีค่าในรถ) จนกว่าจะแน่ใจว่า MEA ได้ตัดไฟฟ้าในบริเวณเกิดเหตุแล้ว กรณีรถยนต์ใช้การได้ ให้ปฏิบัติตามดังต่อไปนี้ 1.การอยู่ในรถถือว่าปลอดภัยที่สุด ไม่ควรลงจากรถจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีสายไฟฟ้าพาดอยู่กับรถ หรือไม่มีสายไฟฟ้าพาดอยู่บนพื้นดินที่เปียกอยู่ 2.แจ้งผู้ที่อยู่นอกรถหรือผู้ที่ต้องการช่วยเหลือ อย่าเข้าใกล้รถ ให้ออกห่างจากรถ 3.ขับรถให้ห่างจากสายไฟฟ้าที่พาดอยู่ อย่างน้อย 10 เมตร และต้องระวังไม่ให้รถทับหรือข้ามสายไฟ เพราะสายไฟอาจเกี่ยวติดพันเข้ากับรถและเกิดประกายไฟขึ้นได้ ?หมายเหตุ : เกิดเหตุในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ แจ้งการไฟฟ้านครหลวง หรือ MEA โทร 1130 หากนอกพื้นที่ดังกล่าวแจ้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA โทร 1129 รวมถึงแจ้งหน่วยงานสาธารณภัยในพื้นที่เพื่อเข้าช่วยเหลือ ?ด้วยความปรารถนาดีจาก MEA? #พลังงานเพื่อวิถีชีวิตเมืองมหานคร Energy for city life, Energize smart living https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3926064070754034&id=497340... https://timeline.line.me/post/_dQn9zGwXj83CxqzRN98kNgtqOGsCdIGLMSbrTR8/1... https://twitter.com/mea_news/status/1306445975817388032?s=19 https://www.instagram.com/p/CFOU2OsA-C4/?igshid=qef24d3xsdca https://gnews.apps.go.th/news?news=69063