สกุล บุณยทัต [email protected] “ประสบการณ์แห่งการผ่านพบในชีวิต นับเป็นวิถีที่ยิ่งใหญ่ ท่ามกลางธรรมชาติที่เป็นไป...มีหลายสิ่งหลายที่กลายเป็นเป้าหมายแห่งการค้นหาที่ล้ำลึก...บังเกิดเป็นความซึมซาบแห่งหัวใจ...ว่ากันว่ายิ่งค้นหายิ่งค้นพบ และนั่นคือกำไรอันสูงสุดของชีวิตที่จะก้าวไปบนหนทางแห่งการแสวงหาในมิติของธรรมชาติอันเปิดกว้าง...เพื่อพานพบกับจุดบรรจบในใจ...ดวงตาก็ย่อมเปิดกว้าง...ดวงใจก็ยิ่งเปิดกว้าง และแน่นอนว่าลมหายใจย่อมต้องขยายกว้างไปสู่ความหมายอันไม่สิ้นสุด...ไม่ผูกพันแต่กลับเติบโตเบิกบานด้วยญาณทัศน์ภายใน และนั่นคือของขวัญอันเป็นอัศจรรย์ของการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างหยั่งรู้และเท่าทันตนเอง บนฐานรากแห่งความไม่ซับซ้อนของการมองโลกในแง่งามด้วยตัวตนอันบริสุทธิ์” สาระแห่งการรับรู้ในเชิงประทับใจเบื้องต้น...มาจากหนังสือบันทึกแห่งห้วงคำนึงของการเดินทางของ ‘เสกสรรค์ ประเสริฐกุล’...อดีตวีรชนผู้นำขบวนต่อต้านเผด็จการในเหตุการณ์ ‘14 ตุลา 16’...แต่ในส่วนของการเป็นนักวรรณกรรม...เขาคือผู้มองโลกในสายตากวี...และตกผลึกในการหยั่งเห็นเลือดเนื้อของชีวิตที่ผสานสัมพันธ์กับวิถีของธรรมชาติอย่างแนบชิด...ทั้งด้วยการเปรียบเทียบ...สื่อสะท้อน ตลอดจนการหลอมรวมความเป็นหนึ่งสู่หัวใจของกันและกันอันนำมาสู่ความวิจิตรตระการในทางความคิดที่เปี่ยมเต็มไปด้วยแง่มุมของกระจกสะท้อนภาพชีวิตที่ปราศจากความอำพรางและเคลือบแคลง...แท้จริงเราต่างเดินทางไปบนหนทางแห่งธรรมชาติ...เดินทางเข้าสู่ความหมายแห่งห้วงรู้สึกนึกคิดของกันและกันอยู่เสมอ “การเดินทางอาจมีความหมายหลายอย่างในห้วงนึกของผู้คน...บ้างเห็นเป็น การพักผ่อนหย่อนใจ...บางคนใช้มันขับไล่ความน่าเบื่อในชีวิตปกติ และมีอยู่ไม่น้อยที่กระหายใคร่รู้จากสถานที่แปลกใหม่บนพื้นพิภพ” ประเด็นข้างต้นถือเป็นบทนำสำคัญ...ที่ทำให้เราทุกคนเข้าสู่ความเป็นตัวตนของเรา...นำเราทุกคนเข้าสู่ห้วงคำนึงแห่งผัสสะที่ตัวตนจะได้มีโอกาสรังสรรค์โลกแห่งชีวิตของตนขึ้นมาบนนัยแห่งความงดงามที่เป็นความจริงแท้ จนสามารถอยู่กับตนเองได้อย่างสงบสันติ...ดวงจิตสงบ...ความคิดฝันก็สว่าง...จนก่อเกื้อเป็นความเชื่อแห่งศรัทธาขึ้นมาได้... “เชื่อหรือไม่...ในเที่ยวเดินทางส่วนใหญ่...สิ่งที่ท่านจะพบมากที่สุดคือตัวตนของท่านเอง...สัมผัสโลกของบุคคลก็เฉกเช่นพรมผืนงาม...มีแต่ความรู้สึกที่คลี่ตัวอย่างถึงที่สุดเท่านั้นที่ม้วนกลับได้อย่างหมดจดเรียบร้อย...ความจริงแท้ของชีวิตมิใช่อันใดอื่น...นอกจากเกิดโดยลำพัง...ตายโดยลำพัง...ระหว่างนั้นยังเป็นการเดินทางโดยลำพัง” ... ข้อคิดเชิงเปรียบเทียบตรงส่วนนี้นับเป็นข้อใคร่ครวญถึงการดำรงอยู่และการดำเนินไปในชีวิต...เราทุกคนต่างมีที่ว่างในโลกแห่งตนที่รอคอยการจัดวางและเติมเต็มบางสิ่งจากการค้นพบและมองเห็นบนวิถีแห่งการเดินทางของจิตวิญญาณชีวิตเป็นโจทย์แห่งการเดินทางเพื่อการค้นหาคำตอบ...และตลอดรายทางของชีวิต...ธรรมชาติก็ได้สรรค์สร้างปริศนาของความรู้สึกนึกคิดให้ชีวิตทุกชีวิตได้พินิจพิจารณาเพื่อนำมาเป็นเชื้อไฟในการจุดประกายความคิดแห่งตนจนสามารถเป็นแสงสว่างนำพาให้หัวใจสามารถจำแนกแยกแยะ...ความเหมาะสมและไม่เหมาะสมให้แก่ตัวตนได้อย่างลึกซึ้งและมีทางเลือกอันถ่องแท้ของตัวเองได้ “ผ่านพบโดยไม่ผูกพัน... บางทีอาจลึกซึ้งยั่งยืนกว่าร้อยหัวใจเข้ากับทุกอย่างด้วยโซ่ตรวน ที่มักตั้งชื่อผิดๆว่าความรัก” หัวใจของหนังสือเล่มนี้อยู่ตรงนี้...! การสลัดหลุดจากพันธนาการของหัวใจ โดยเฉพาะในห้วงยามที่เป็นความรัก...จักสอนให้มนุษย์ได้ตระหนักถึงการหลุดพ้นไปจากห้วงของมายาลวง...และทัศนคติที่ปรุงแต่งไว้ด้วยสีสันอันเป็นจริต...เมื่อมีการค้นพบและตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อและผูกพันเราจำเป็นต้องมีการตัดสินใจอย่างแม่นตรงโดยไม่เข้าใจผิด...แท้จริง! ความผูกพันคืออะไร?...ความไม่ผูกพันเป็นเช่นใด? การค้นพบสิ่งหนึ่งสิ่งใดในแต่ละครั้งจึงนับเป็นอิสรภาพที่จะเลือกสรรวิถีแห่งการก้าวไปในหัวใจที่มีเหตุผลและเป็นเหตุผลของตนเอง...มันคือความถูกต้องหรือผิดพลาดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับศรัทธาแห่งตัวตนแห่งตนที่จะค่อยๆฝึกฝนการเรียนรู้ในค่าความหมายของสิ่งที่ผ่านพบในแต่ละครั้ง...ว่ามันดำรงอยู่ในส่วนไหนของสถานะแห่งความเป็นชีวิตกันแน่... “ชีวิต...คือความศักดิ์สิทธิ์โดยตัวของมันเองเป็นอุบัติการณ์ที่สร้างขึ้นโดยอภิมารดาแห่งธรรมชาติและคลี่คลายเคลื่อนคล้อยไปตามกฎเหล็กของจักรวาล อิสรภาพแท้จริงแล้วมิใช่อันใดอื่น หากคือการผนึกแนบเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีฟ้า” ‘เสกสรรค์’ ได้ให้ข้อบ่งชี้ถึงการมองเห็นและเข้าใจในวิถีอันกว้างไกลของความเป็นชีวิตว่าถึงอย่างไรก็อยู่ภายใต้ขอบเขตและพลังแห่งอำนาจของธรรมชาติ...การมองเห็นอุบัติการณ์ทางความคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆในชีวิตแห่งสังคมที่เต็มไปด้วยความหลงใหล...บางขณะชีวิตต่างบีบตัวเองให้ตกอยู่ ในหลืบมุมที่คับแคบ...ผู้เป็นเจ้าของชีวิตไม่ยอมปล่อยตัวตนของตนเองให้ได้ก้าวไปในเวิ้งรู้แห่งเจตจำนงอันเที่ยงแท้...ที่มีธรรมชาติเป็นแรงขับเคลื่อนในทางจิตวิญญาณ...ความแตกต่างในการเดินทางของแต่ละชีวิตจึงเกิดขึ้นอย่างซ้ำซาก...เหมือนจะรู้ตัวแต่ก็ไม่รู้ตัว แม้จะเข้าใจแต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ... “คนบางคนเดินทางชั่วชีวิต ทำได้เพียงย้ายที่ขับถ่ายกินนอน...อรหันต์นั่งนิ่งอยู่ใต้ร่มพฤกษาพลันเห็นทั้งเอกภาพ แต่สำหรับเราท่านที่คุณสมบัติปานกลางบางทีสลับชีวิตประจำถิ่นกับ การเร่ร่อนสัญจรอาจช่วยให้เห็นความจริงมากขึ้น” ในที่สุดแล้ว...ชีวิตทุกๆชีวิตก็ควรได้ค้นพบข้อประจักษ์ในความเป็นจริง...เป็นการผ่านพบที่มากหลายด้วยสัมผัสของกายและใจ...อะไรคืออะไร?...อะไรเป็นอะไร?...นั่นเป็นมิติของผลกระทบเมื่อชีวิตได้ออกเดินทางซึ่งในแต่ละก้าวย่างที่เปลี่ยนแปลง ย่อมบังเกิดรอยทางใหม่ๆจากแรงปะทะขึ้นในเหตุผลของการเรียนรู้...หากตัวตนได้สื่อสัมผัสถึงประสบการณ์ดังนี้โดยถ้วนทั่ว ชีวิตทุกๆชีวิตของกาลเวลาก็ย่อมจะมองเห็นภาพสะท้อนแห่งการผ่านพบ ที่ทิ้งร่องรอยแห่งความทรงจำที่เป็นจริงเอาไว้ ณ เบื้องหลังเสมอ... “เราท่าน ล้วนปะทะโลกด้วยผิวนอกมากกว่าซึมซับมันด้วยเนื้อใน...ดังนั้นจึงเป็น เช่นเดียวกับหินผาที่วันหนึ่งพบว่าแม้ผิวนอกของตัวเองก็เต็มไปด้วยร่อง รอยกัดเซาะของกาลเวลา” “ผ่านพบไม่ผูกพัน” เป็นหนังสือความเรียงที่งดงามลึกล้ำ...เป็นผลึกแห่งกระจกที่ส่องสะท้อนให้เห็นถึงเบื้องลึกสุดภายในจิตวิญญาณ...ของผู้มีประสบการณ์ชีวิตที่ตกผลึก...ผ่านพบสรรพสิ่งนานา ทั้งเหตุการณ์ ความคิด ผู้คน และภาพฉายอันเปี่ยมมิติของการปลุกตื่นชีวิตอันเนื่องมาแต่เนื้อในของธรรมชาติ.. เมื่อเวลาได้ล่วงผ่านมาจนถึงวันนี้ ความเรียงในสาระของหนังสือดังกล่าวกลับกลายเป็นบทสะท้อนทางจิตวิญญาณของคนผู้หนึ่ง...ที่ได้ทำหน้าที่ของชีวิตในวิถีแห่งอุดมการณ์ที่ผสานเข้ากับดวงตาแห่งจิตใจ...ซึ่งสามารถหยั่งรู้และมองเห็นในสิ่งที่ควรจะมีจะเป็นตลอดระยะเวลาแห่งการเดินทางที่แนบชิดกับชีวิต...มันคือบทเพลงสวดของความสงบงามที่ถูกขับขานขึ้นด้วยดวงจิตของความรื่นรมย์และเข้าใจ...เป็นบันไดของความตระหนักรู้ที่พาดผ่านไปสู่...ประตูแห่งสัจจะบนสรวงสวรรค์...คนที่จะสร้างวิถีแห่งสำนึกคิดให้แปรค่าออกมาเป็นงานเขียนในภาพลักษณ์แห่งความจริงแท้และกัดกินหัวใจได้เช่นนี้มีอยู่ไม่มากนัก... “ฮั่นซาน” แห่ง “ขุนเขายะเยือก” ‘หลี่ไป๋’ ผู้โอบกอดดวงจันทราในห้วงน้ำ... ‘เรียวกัน’ กับเงาภาพในภาพสะท้อนของกาลเวลา...กระทั่ง ‘โกวเล้ง’...มังกรเดียวดาย...ผู้มีดวงตาแห่งดวงใจอันเปิดกว้างและโบยตีตัวเองด้วยความสุขจากชะตากรรมอยู่เสมอ บุคคลเหล่านี้...นับเนื่องเป็นแบบอย่างของการเป็นผู้สร้างงาน...ที่ละม้ายเหมือนถ้อยคำและถ้อยความอันมีความหมายยิ่งของ ‘เสกสรรค์’ ระหว่างเส้นทางของการเดินทาง...ระหว่างหนทางของการพานพบมีสรรพสิ่งอันมากหลายที่คล้ายดั่งเป็นครูและแบบเรียนสอนชีวิต...มิติคิดในท่วงทำนองเช่นนี้คือเบ้าหลอมอันอัศจรรย์ที่สื่อผ่านออกมาด้วยลีลาของภาษาได้อย่างสอดคล้อง...เป็นความงามและความหมายด้วยลีลาอันเป็นดั่งกวีนิพนธ์ (Poetic & Euphony) แน่นอนว่า ณ บางขณะชีวิตของเราทุกคนก็คล้ายดั่งความเป็นกวีนิพนธ์...มีกฎเกณฑ์ มีความเป็นอิสระที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจในการเลือกสรรความดีความงามเพื่อประกอบขึ้นเป็นเนื้อหาแห่งหัวใจอันเป็นสาระของตนเอง...ความคิด...และสำนึกรับรู้ทั้งหมดทั้งมวลคือเครื่องประดับที่ห่อหุ้มจิตวิญญาณเพื่อการเติบใหญ่ได้อย่างยั่งยืนถาวร...และไม่มีวันตาย... นี่คือ...หนังสือที่ชำระล้างจิตใจอันหม่นมืดในเชิงศรัทธา...หนังสือที่สามารถกระตุ้นเร้าให้เราต้องก้าวเดินไปเบื้องหน้าพร้อมกับการปลุกตื่นตัวตนให้ลุกขึ้นมารู้สึกตัวต่อการดำรงอยู่ในโลกแห่งชีวิตอย่างมีสติ...เงียบนิ่งและเป็นตัวของตัวเอง...บนความหมายที่แท้แห่งความเป็นธรรมชาติอันสมบูรณ์ในการผ่านพบ ‘สุข...สด และเย็น’...ตลอดไป.. “เกลียวคลื่นผ่านมาแล้วผ่านไป แต่เนื้อในของทะเลกว้างยังคงเดิม” นั่นคือสัจจะในบทสรุปของการค้นพบที่ไม่ผูกพัน...ในข้อประจักษ์ของการเรียนรู้มิติอันเป็นที่สุด “คนเราเกิดมาในโลก...แท้จริงแล้วจะมีเพื่อนร่วมทางสักกี่คน...ส่วนใหญ่ที่สุดก็เป็นเพียงคนข้างทางของกันและกัน”