“สุเทพ” ยันคำเดิม ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้ว ย้ำบารมีไม่มีแล้ว เป็นแค่ลุงกำนันเท่านั้น วอนอย่าคิดไกลถึงขั้นให้เป็น ผจก.รบ. ที่มูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย(มปท.) กล่าวว่า ตนได้ประกาศว่าจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกแล้ว และจะไม่รับตำแหน่งใดๆในรัฐบาลไหนอีกแล้ว ตรงนี้ชัด แต่ก็มีคนไปตีความกันว่า ตนจะไม่เล่นการเมือง ตรงนี้ไม่ใช่ การเมืองเป็นเรื่องของประชาชนเราประชาชน ทุกคน ทุกสาขาอาชีพ ต้องช่วยกันดูแลบ้านเมืองรับผิดชอบบ้านเมืองต้องช่วยกันรับผิดชอบบ้านเมือง มวลมหาประชาชน จึงได้เรียกร้องว่า ต่อไปเราต้องทำการเมืองให้เป็นของประชาชนโดยประชาชน เพื่อประชาชน เราไม่ต้องการให้การเมืองเป็นของนักการเมือง หรือพรรคการเมือง เราไม่ต้องการให้นักการเมืองอ้างประชาชนแล้วไปทำงานเพื่อหาประโยชน์ให้กับตัวเอง เพราะฉะนั้นตรงนี้ชัดเจน ตนยังรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เหมือนประชาชนคนไทยเจ้าของประเทศทั้งหลายและยังพร้อมที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหลกับประชาชน ที่จะต้องสู้เพื่อปกป้องสถาบันและพระมหากษัตริย์ต่อไปเราจงรักภักดีกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อย่างไร เราก็ต้องจงรักภักดีกับรัชกาลที่ 10 เทิดทูนสถาบันต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ทำแล้วอย่างเช่นการรณรงค์ให้ประชาชนไปร่วมลงประชามติรับร่างรธน. จนมีการประกาศใช้รธน.ไปเมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา นายสุเทพ กล่าวต่อว่า มาตอนนี้ตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนมองกันว่า ตนจะเป็นตัวแปรทางการเมือง และพูดเลยไปว่าตนจะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลนั้น คิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลเกินไป อาจจะเคยเห็นว่าตนเคยเป็นผู้จัดการรัฐบาล และคราวนี้คงไม่มีใครมาให้ตนจัดการ อย่าคิดไกลกันไป และที่ผ่านมา ตนได้ประกาศท่าทีชัดเจนในฐานะที่เป็น กปปส.ขอยกย่อง ชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ที่ออกมายึดอำนาจหลังจากที่ กปปส.ต่อสู้ไปถึง204วัน มีคนล้มตาย ระบอบทักษิณก็อาจจะต้องเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองอยู่ ถึงแม้ว่าเราไม่ต้องการเรียกร้องให้ปฏิวัติ แต่เมื่อเขาปฏิวัติ ก็ดีเหมือนกัน ที่ระบอบทักษิณจะได้จบ นายสุเทพ กล่าวต่อว่า เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เขากล้าดำเนินการหลายอย่างที่ตรงกับใจ กปปส. เช่นเรื่อง ปราบปรามการคอร์รัปชั่น ประกาศเดินหน้าการปฏิรูปประเทศ เขียน รธน.เพื่อเป็นกรอบในการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ตนก็ไม่เหนียมอาย ไม่ลังเล ที่จะประกาศแทนประชาชนว่าเราสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ ให้ทำการปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ และยังพูดเลยต่อด้วยนะว่าเลือกตั้งคราวหน้า ประชาชนอย่างพวกตนอยากเห็นพล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกฯ หลังการเลือกตั้งเพราะฉะนั้นตนยังเกี่ยวกับการเมืองอยู่เพียงแต่ไม่ใช่การเมืองเพื่อตัวเองที่จะมีตำแหน่งเป็นส.ส. หรือมีตำแหน่งในรัฐบาล แต่จะเป็นการเมืองแบบประชาชน นายสุเทพ กล่าวต่อถึงกรณี ที่มีการมองว่า ตัวเองยังมีบารมี มีคอนเนคชั่น ทางการเมืองนั้น ว่า เวลานี้ไม่มีบารมีอะไร ตอนนี้เป็นลุงกำนันแก่ๆ คนหนึ่ง เป็นประธาน มปท. เข้าวัด จัดโครงการบรรพชาถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำมา 25 รุ่น ไปทำวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ สอนเด็กทำนาปลูกข้าว เลี้ยงไก่ อยู่กับสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ไปสร้างบารมีที่ไหน และการที่มีคนออกมาพูดว่า ยังมีบารมีถึงขั้นการเป็นผู้จัดการรัฐบาลนั้น ก็คงเป็นความคิดของเขา ความคิดของคน เราคงห้ามไม่ได้ แต่เราอย่าไปเพลิดเพลินกับสิ่งที่เขาพูดเราต้องเป็นตัวเรา แต่ตนยังยืนยันเหมือนคนไทยทั้งประเทศว่า ต่อไปเราต้องช่วยกันดูแลบ้านเมืองไม่ปล่อยให้ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาทำให้บ้านเมืองเสียหายวุ่นวาย ยับเยินเหมือนที่แล้วมา เราจะทำงานถวายพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อถามว่า วิเคราะห์การเมืองหลังการเลือกตั้งไว้อย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ตนไม่ใช่หมอดู ไม่สามารถที่จะพูดจาให้การทำนายได้ แต่พูดในแง่ประชาชนไทยพบว่า ประชาชนทุกสาขาอาชีพ มีความตื่นตัว ตระหนักว่า เราทุกคนต้องร่วมมือดูแลบ้านเมือง เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ที่จะทำงานทางการเมือง อย่ามองข้ามความสำคัญของประชาชนอย่าคิดว่าเก่ง หรือ ดีกว่าประชาชน เชื่อว่าวันนี้ ประชาชนทั้งหลาย คือผู้กำหนดอนาคตของประเทศไทย ถ้าเป็นสิ่งที่คาดหวัง คือ อยากจะเห็นคนที่จะมาเป็นนักการเมือง ได้ปฏิญาณกับตัวเองว่า จะทำการเมืองเพื่อประชาชน เคารพฟังเสียงประชาชน ถ้าใครได้พิสูจน์ตัวเองแบบนี้ ก็จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนตนเคยตอบนักการเมืองที่ไปหาตอนที่บวช เขาถามว่าจะกลับไปพรรคประชาธิปัตย์อีกหรือไม่ ตนก็บอกว่าไม่กลับ เขาถามว่าจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือไม่ ก็ตอบเขาว่าไม่ตั้งและตอบอีกด้วยว่า ถ้าพรรคการเมืองรวมหัวกัน และรุมถล่มพล.อ.ประยุทธ์ อย่างนี้ ตนจะลุกขึ้นช่วยพล.อ.ประยุทธ์ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ในความรู้ของมวลมหาประชาชน เราถือว่าเขากำลังทำหน้าที่ต่อสู้ ต่อจากที่ประชาชนทำเมื่อปี 2556-2557 ไม่มีเรื่องอื่นผูกพันกันเลย พล.อ.ประยุทธ์ เขากำลังทำหน้าที่แทนประชาชน ฃ เมื่อถามว่ามองหรือไม่ว่าหลังการเลือกตั้งแล้วมีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ พรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย อาจจะจับมือกัน เพราะในเรื่องของการจัดสรร ระบบส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ตามรธน.ใหม่มีความละเอียดมากขึ้น เส้นทางในการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ 2พรรคจะจับมือกัน นายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องภายในของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเรื่องของเขา ตนเป็นคนนอกพรรค แต่ความที่เคยอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์มานาน คิดว่าวันนี้คนที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งส.ส.และ ประชาชน เขาได้ตระหนักในความในความเป็นจริงในบ้านเมืองมากแล้ว เชื่อว่าคงไม่ไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยเพราะถ้าเขาไปร่วม ก็จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประชาชนที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ อย่างน้อยก็พวก กปปส. ก็คงไม่สนับสนุน พรรคประชาธิปัตย์ก็จะเสียโอกาสถ้าไปทำอย่างนั้น ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปได้ก็โชคร้ายของเขา ต้องบอกว่ากปปส.บอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า เราต่อสู้กับระบอบทักษิณ และถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยก็เท่ากับไปร่วมกับระบอบทักษิณ เราก็ต้องสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งมองหรือไม่ว่าอาจจะมีสถานการณ์ต่างๆทำให้การเลือกตั้งสะดุดต้องเลื่อนออกไป ไม่ตรงกับโรดแม็ปที่รัฐบาลกำหนด นายสุเทพ กล่าวว่า ในสถานการณ์ขณะนี้ไม่มีอะไรสะดุด เมื่อ รธน.ประกาศใช้แล้ว เวลาต่อไปคือช่วงเวลาของการทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (กฎหมายลูก) กรธ.มีหน้าที่ในการยกร่าง ยกร่างออกมาบางอย่างเห็นแล้วก็ถูกใจเช่นกฎหมายพรรคการเมือง เพราะจะเป็นลู่ทาง ทำให้เกิดการเมืองที่เป็นของประชาชน ทำให้พรรคการเมืองเป้ฯของประชาชน พอกรธ.ยกร่างเสร็จส่งไปที่สนช. สนช.ก็พิจารณาตามลำดับเวลา ทุกอย่างก็อยู่ในกรอบเวลา ถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ การเลือกตั้งก็จะอยู่ในกรอบเวลา ยังไม่เห็นอะไรที่จะมาเป็นตัวทำให้สะดุดหรือเลื่อน แต่แน่นอนหากยังมีระเบิดตามที่ต่างๆ ประชาชนนี่แหล่ะจะเป็นคนที่ลุกขึ้นเรียกร้องว่าอย่ามีเลือกตั้ง ตนก็จะเป็นคนหนึ่งที่ลุกขึ้นเรียกร้อง เมื่อถามว่า กับการเซ็ทซีโร่ กกต.มองตรงนี้อย่างไรส่งผลต่อการเลือกการเลือกตั้งหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวต่อว่า คงไม่ส่งผลต่อการเลือกตั้งและเป็นเรื่องแปลก ทำไมไปใช้คำว่าเซ็ทซีโร่ ที่จริงเป็นเรื่องธรรมดา และตอนนี้เป็นขั้นตอน ที่อยู่ในกระบวนการปฏิรูปการเมือง ก็ต้องเขียนกฎหมาย กันใหม่อย่างเช่น กฎหมายพรรคการเมือง การเลือกตั้งส.ส.ที่มาส.ว. และ กฏหมายว่าด้วยกกต. เมื่อทำมาใหม่ บทบัญญัติในกฎหมาย เป็นอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร ปัญหาที่เห็นคือมันมีอย่างเดียว คือ คุณสมชัย ที่เป็นอยู่ และไม่อยากออก ติดยึดมากเกินไป อย่าเอาเรื่องส่วนตัว มาพัวพันกับอนาคตประเทศที่ นายสมชัยพูดไปฟังดูประชาชนไม่ชอบแก พูดไปก็มีแต่เสียหาย คนเขาดูถูกเห็นแก่ตัว ไม่ได้เห็นแก่ชาติ ใครเขาจะเป็นไปตลอดชีวิต เมื่อมีกฎหมายใหม่ออกมาก็ต้องยอมรับ ไม่มีผลกระทบต่อการเลือกตั้ง เมื่อถามว่า มีคนมองว่า ท่านมียุทธวิธี ให้ กปปส.กลับเข้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์อยากทราบว่ายุทธวิธีที่ว่าคืออะไร นายสุเทพ กล่าวว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น อย่าคิดไกล กปปส.ประกอบด้วยคนทุกสาขาอาชีพตั้งแต่เป็นนักการเมืองพ่อค้า นักธุรกิจข้าราชการ เกษตรกร เราออกมาร่วมต่อสู้โดยมีเป้าหมายชัดเจน ทำงานเสร็จทุกคนก็กลับบ้านใครมีหน้าที่อะไรก็กลับไปที่เดิม นักการเมืองก็กลับพรรคการเมืองไม่มีอะไรที่พิสดารมีแต่ตนที่ประกาศแล้วว่าไม่กลับ แต่ใจเรายังถึงกันอยู่ อุดมการณ์เรายังเหมือนกันเรายังเป้ฯพวกเดียวกันส่วนเพื่อนที่กลับไปพรรคประชาธิปัตย์เขากลับไปแล้วเขาจะทำอะไรกันบ้างนั้นไม่เกี่ยวกับ กปปส.แล้ว และถ้าทำถูกใจ กปปส.เราก็เชียร์ถ้าไม่ถูกใจ ก็ไม่เชียร์ ส่วนที่มีการกล่าวว่ามีการ ส่งแกนนำกปปส. เพื่อไปยึดพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า จะไปยึดทำไม พรรคประชาธิปัตย์ วันนี้เป็นลุงกำนันก็สบายดีแล้ว อย่าว่า จะไปช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เลย มีแต่ท่านอภิสิทธิ์ มายกมือไหว้ บอกว่าช่วยมาเป็นหัวหน้าพรรคแทนที ก็ยังไม่เอาเลย เพราะไม่กลับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว และไม่รู้จะไปจัดการอย่างไรกับคนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์หลายคนที่รู้สึกว่า น่ากังวลใจ แต่ว่าถ้าเพื่อนๆ พี่น้อง 7-8 คนที่กลับไปพรรค กลับไปพร้อมกับแนวความคิดใหม่ ที่ได้เรียนรู้จากเวลา 204 วัน แล้วเอาความคิดนี้ไปเผยแพร่ในพรรค จนทำให้คนในพรรคมีแนวความคิดใหม่ๆตามไปด้วยนั้น อันนี้ไม่ใช่การยึดพรรค แต่เป็นการปรับแนวความคิด เมื่อถามว่าพรรคการเมืองถือว่ามีความสำคัญมากอย่างพรรคประชาธิปัตย์ มองอย่างไรที่มีการวิเคราะห์จากหลายฝ่าย หากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ หัวหน้าพรรคอย่างนายอภิสิทธิ์ ควรมีการเปลี่ยนหรือไม่เพราะการเสนอชื่อคนที่จะมาเป้ฯนายกฯต้องเสนอก่อนมีการเลือกตั้ง นายสุเทพ กล่าวว่า มองไม่ได้ และบอกไม่ได้ว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ควรเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ไม่ใช่เรื่องของตน ตนไม่มีหน้าที่ แต่ถ้าถามในฐานะประชาชน ก็จะบอกว่า เราประชาชน ประกาศท่าทีชัดเจนว่า เราสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งเพราะช่วงนี้เป็นของการเปลี่ยนผ่าน เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ งานปฏิรูปประเทศต้องทำต่อเนื่องอย่างน้อย 4-5 ปีถึงจะสมบูรณ์ ถ้าเป็นนักการเมืองเก่า ประชาชนกังวลใจว่าคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศได้ พล.อ.ประยุทธ์ คนกลางๆ น่าจะทำได้ ที่นี่ก็จะมีปัญหา ถ้าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ เขาประกาศ ว่าไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ ตรงนี้จะทำประชาชนหนักใจเหมือนกัน ตนคิดว่าถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนั้นก็อาจจะมีพรรคการเมืองใหม่ๆเกิดขึ้น โดยการรวมตัวของประชาน ส่วนจะเป็นใครบ้างก็ยังไม่รู้ ทุกอย่างที่นักการเมืองพูด ประชาชนเองเขาก็ฟัง ตนเองก็ฟังไตร่ตรองและก็คิด เมื่อถามว่า มองว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ควรจะมีการเปลี่ยนตามสถานการณ์บ้านเมือง หรือ ตัวพรรคประชาธิปัตย์เองควรมีการปรับปรุงอะไรบ้างหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ขอตอบเรื่องตัวบุคคล แต่คิดว่าพรรคการเมืองทุกพรรค รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ควรปฏิรูปตัวเอง ให้เข้ากับการปฏิรูปประเทศมันถึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชน เมื่อถามว่า มองสถานการณ์ทางการเมืองจากนี้ไปจนกว่า จะมีการเลือกตั้งอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า มองบ้านเมืองในแง่บวก สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นมาตามลำดับ นักการเมืองต้องเสียสละ ต้องปรับความคิด ให้ทันประชาชน อย่าให้ประชาชนคิดไกลกว่านักการเมือง ตนไม่สบายใจที่นักการเมืองคิดสวนทางกับประชาชน