GUNKUL ประกาศผลงานครึ่งแรกปี 63 ไม่ธรรมดา กำไรโตแตะ 718.33 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 3,437.93 ล้านบาท ส่งสัญญาณครึ่งปีหลังยังสดใส อานิสงส์โซลาร์ฟาร์ม-วินด์ฟาร์ม-งาน EPC ยังโตต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าประมูลงานเพิ่มอีกเพียบหนุนผลงานโตไม่ยั้ง
น.ส.โศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทกันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL) เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 6 เดือน(สิ้นสุด วันที่ 30 มิ.ย.63) ของบริษัทและบริษัทย่อยว่า มีกำไรสุทธิ 718.33 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 661.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.53% ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 3,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมเท่ากับ 3004.33 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายภายในประเทศ 496.68 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5.10% รายได้จากการขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 576.16 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41.74%
ทั้งนี้แม้ผลการดำเนินงานไตรมาส2/2563 จะปรับตัวลดลงเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากการลดลงของกระแสไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม เนื่องจากกระแสลมอ่อน โดยมีกระแสไฟฟ้าลดลงประมาณ 16,9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่บริษัทยังมีรายได้จากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรับรู้รายได้จากการขายพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในต่างประเทศเต็มจำนวนรวม 4 โครงการ รวม 125.30 เมกะวัตต์ได้แก่ โครงการในประเทศญี่ปุ่นจำนวน 2 โครงการ ขนาดรวม 65.30 เมกะวัตต์ และโครงการในประเทศเวียดนาม ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้ทันทีตั้งแต่ทำการเข้าซื้อกิจการตั้งแต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นมาจำนวน 2 โครงการขนาดรวม 60 เมกะวัตต์
“ตัวเลขผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ที่รายได้และกำไรจากธุรกิจผลิตและจัดหาอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า การจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าพลังงานลมเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเกิดจากการผนึกกำลังขับเคลื่อนองค์กรของทีมผู้บริหาร และพนักงานด้วยการเดินหน้าขยายงานในทุกภาคธุรกิจอย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันผลประกอบการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น โดยกลุ่มบริษัทยังเดินหน้าร่วมประมูลงานใหม่ๆ โดยเฉพาะงาน EPC ที่ยังมีโอกาสเติบโตค่อนข้างสูง ครึ่งปีแรกทยอยได้งานอย่างต่อเนื่อง”
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังของกลุ่มบริษัทฯ คาดว่าน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้จาก โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว ซึ่งบริษัทยังมีโครงการลงทุนอย่างต่อเนื่องอาทิ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ อิวาคุนิ ประเทศญีปุ่น กำลังการผลิต 98 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างของสายส่ง คาดว่าจะ COD ได้ช่วงปี 2566,โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ Kenyir Gunkul Solar (KGS) ประเทศมาเลเซีย ขนาด 29.99 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตติดตั้ง 39.0297 เมกะวัตต์ ณ รัฐตรังกานู ได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะเวลา 21 ปี คาดว่าจะ COD ได้ภายในไตรมาส 4/2563 และอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม คาดสรุปผลได้ภายในไตรมาส 3/2563
นอกจากนี้ยังมีโครงการรับเหมาก่อสร้างนำสายไฟฟ้าลงดินกับการไฟฟ้าแห่งประเทศไทยผ่านการร่วมมือกับกรุงเทพธนาคม โดยอยู่ระหว่างอนุมัติการทำแบบร่างและตรวจรับงาน PILOT ROUTE ระยะทาง 1.8 กิโลเมตร คาดดำเนินการแล้วเสร็จไตรมาส 3/2563 ส่วนโครงการขายอุปกรณ์ไฟฟ้า บริษัทได้จดทะเบียนบริษัทย่อยในประเทศเมียนมา เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยมีวัตถุประสงค์ในการขายอุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ 1,000 เมกะวัตต์ที่อยู่ระหว่างประกวดราคา และรองรับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไฟฟ้าในประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
อย่างไรก็ตามบริษัทยังเดินหน้าขยายกำลังการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเข้าร่วมประมูลโครงการต่างๆของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) อีกทั้งยังมีงานก่อสร้างในมือ (Backlog) ประมาณ 8,000 กว่าล้านบาท จึงทำให้มั่นใจรายได้ และกำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตอย่างโดดเด่น โดยคาดว่าการเติบโตของรายได้ปีนี้จะไม่น้อยกว่า 15-20%