คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย โดยปกติที่ผ่านมานักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่แล้ว มักจะออกมาพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีต แต่กลับปรากฏว่า “ศาสตราจารย์ดร.อัลแลน ลิทช์แมน” แห่ง อเมริกันยูนิเวอร์ซิตี้ (American University) มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1973 โดยเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้ เขาได้สร้างความเกรียวกราว สืบเนื่องมาจากเขาได้ออกมากล่าวทำนายล่วงหน้าเกือบ 100 วันก่อนการเลือกตั้งจะมาถึงว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างแน่นอน” ทั้งนี้ตั้งแต่ 1984 ในสมัยของ “ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน” เป็นต้นมา ดร.ลิทช์แมน เคยทำนายเกี่ยวกับการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯถูกต้องแม่นยำทุกครั้ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ที่เกิดขึ้นระหว่างฮิลลารี คลันตันและโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขณะนั้นสำนักหยั่งเสียงชั้นนำและบรรดานักวิเคราะห์เรื่องการเมืองต่างก็ออกมาฟันธงคอนเฟิร์มกันอย่างถล่มทลายว่า “ฮิลลารี คลินตันจะเป็นผู้กำชัยได้รับเลือก” แต่ในทางกลับกันดร.แอลลัน ลิทช์แมน ได้ออกมาทำนายสองเดือนล่วงหน้าแบบที่ใครๆฟังก็พากันตลกขบขันหาว่าเขาเพี้ยนไปแล้วแน่ๆว่า “โดนัลด์ ทรัมป์จะได้ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวในตำแหน่งประธานาธิบดี” และเมื่อเหตุการณ์ที่ผู้คนคิดว่าเป็นไปไม่ได้กลับกลายเป็นความจริง จึงมีผลทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นผู้หยั่งรู้ที่ไม่มีใครสามารถทำลายสถิติได้!!! และหากเข้าไปศึกษาถึงประวัติของศาสตราจารย์ดร.แอลลัน ลิทช์แมน แล้วนั้น นับได้ว่าเขามิใช่บุคคลธรรมดาๆ โดยเขาสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ด้านประวัติศาสตร์ จาก Brandeis University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำอีกแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ตั้งอยู่ ณ รัฐแมสซาชูเซตส์ และสำเร็จในระดับปริญญาเอก ทางด้านประวัติศาสตร์จากฮาร์วาร์ด อีกทั้งเขายังได้แต่งหนังสือถึง 11 เล่มได้รับรางวัลมาแล้วอย่างมากมาย ยังเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะประวัติศาสตร์ ยังเคยเป็นอาจารย์สอนที่คาร์ลเท็ก รัฐแคลิฟอร์เนีย และยังเคยลงเลือกตั้งในตำแหน่งวุฒิสภา แต่กินแห้วไม่สมหวังไปไม่ถึงดวงดาว!!! อนึ่งดร.ลิทช์แมนออกมากล่าวว่า เขาใช้สูตรปัจจัย 13 ข้อจากการศึกษาประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 120 ปีที่ผ่านมาโดยเขาได้อธิบายว่า การเลือกตั้งในปี 2020 ที่จะเกิดขึ้นนี้ อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีความได้เปรียบเหนือประธานาธิบดีทรัมป์ ถึง 7 ข้อจาก 13 ปัจจัยด้วยกันกล่าวคือ ประธานาธิบดีทรัมป์มีความเสียเปรียบเพราะเผชิญกับปัญหาโรคระบาดโควิด 19 เผชิญกับปัญหาเหตุการณ์ประท้วงเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากความโหดร้ายของตำรวจและการเหยียดสีผิว เผชิญกับปัญหาความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจ เผชิญกับเรื่องอื้อฉาวต่างๆไม่เว้นแต่ละวัน เผชิญกับกรณีที่เขาถูกสภาผู้แทนฯลงมติถอดถอน และทั้งหมดที่กล่าวมานี้ถือเป็นการปิดประตูหมดโอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งในสมัยที่สอง!!! นอกจากนั้นแล้ว ดร.ลิทช์แมนยังได้ชี้อีกว่าการที่พรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งกลางสมัยเมื่อปี 2018 นั้น ถือเป็นสัญญาณอันตรายในอนาคตทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะหากเขาหวังจะได้รับคะแนนฐานเสียงจากผู้ชื่นชอบและสนับสนุนทางการเมืองของเขาเพียงแค่อย่างเดียวก็คงจะยาก ดร.ลิทช์แมนได้ให้ทรรศนะเพิ่มเติมว่าทั้งอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนและประธานาธิบดีทรัมป์ มองๆไปแล้วทั้งคู่ล้วนแล้วแต่ขาดพรสวรรค์เฉพาะตัว (Charisma) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานาธิบดีทรัมป์มีบุคลิกลักษณะเป็นแค่เพียงนักแสดงผู้เจนเวที (showman)เท่านั้น ท้ายที่สุดดร.ลิทช์แมน ได้ตั้งข้อสังเกตต่อไปอีกว่า “หากรัสเซียเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็ไม่แน่ว่าผลของการเลือกตั้งอาจจะเปลี่ยนแปลงและมีความคลาดเคลื่อนได้” โดยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมนี้ “มร.วิลเลียม อีวานีนา” ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวกรองและความมั่นคงสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงการณ์ถึงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของรัสเซียในการแทรกแซงการเมืองสหรัฐฯว่า “ขณะนี้เราได้ประเมินกันแล้วว่า รัสเซียกำลังพยายามดิสเครดิตกระพือข่าวด้านลบต่อ โจ ไบเดน อีกทั้งทางเครมลินก็ยังเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โฆษณาสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ผ่านทั้งทางโซเชียลมีเดียและโทรทัศน์ของรัสเซีย” คราวนี้ขอวกกลับมาพูดเกี่ยวกับตำแหน่งรองประธานาธิบดี ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาผู้ที่อยู่ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีและได้มีโอกาสเข้าไปสวมบทบาทในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯมีมาแล้วถึง 14 คน และหลังจากสงครามโลกที่สองเป็นต้นมาก็ยังมีรองประธานาธิบดีหลายๆคนเข้าไปรับตำแหน่งประธานาธิบดี อาทิเช่น ประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน ที่รับช่วงต่อจากประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี.รูสเวลท์, ประธานาธิบดีลินดอน บี.จอห์นสัน เข้าไปนั่งแทนที่ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดีหลังจากถูกลอบสังหาร, รองประธาธิบดีเจอร์รัลด์ ฟอร์ด ก็เข้าไปนั่งแทนที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน หลังจากที่เขาตัดสินใจลาออก เป็นต้น กระนั้นก็ตามยังมีรองประธานาธิบดีบางคนที่มีบทบาทและมีอิทธิพลเหนือกว่าประธานาธิบดีด้วยซ้ำไปอาทิเช่น รองประธานาธิบดีดิก เชนีย์ ในยุคสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ซึ่งจะเห็นได้ว่าเขามีบทบาทเหนือกว่าประธานาธิบดีบุชในแทบทุกๆด้าน !!! และเนื่องจากขณะนี้โจ ไบเดน มีอายุปาเข้าไปถึง 77 ปีแล้ว ดังนั้นการที่เขาจะคิดหรือทำอะไร ก็คงจะต้องทำแบบถี่ถ้วนรอบคอบโดยไม่ต้องการให้ผู้ที่เขาเลือกในตำแหน่งรองประธานาธิบดีจะกลายเป็นสายล่อฟ้า เขาจึงจำต้องคัดสรรเลือกเฟ้นผู้ที่บาดแผลทางการเมืองและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด อีกทั้งจะต้องมีความพร้อมที่จะเข้าไปรับช่วงในตำแหน่งประธานาธิบดีได้อย่างทันท่วงที และในที่สุดเมื่อวันอังคารที่เพิ่งผ่านมานี้โจ ไบเดนได้ประกาศออกมาแล้วว่าตัดสินใจที่จะเลือก “วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส” เข้ามาร่วมทีมในตำแหน่งรองประธานาธิบดี ซึ่งดูๆแล้วเธอมีคุณสมบัติลักษณะเด่นครบถ้วนที่ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เธอมีพรสวรรค์ในความเป็นผู้นำ มีประสบการณ์รอบด้านทั้งในและต่างประเทศ มีความกล้าหาญเชื่อมั่นตนเองสูง มีความเด็ดเดี่ยว เป็นนักเจรจาที่ดี และเหนือสิ่งอื่นใดสามารถที่จะเข้าไปสวมบทบาทในตำแหน่งประธานาธิบดีได้ทันทีหากอะไรเกิดขึ้นกับโจ ไบเดน ดังนั้นการตัดสินใจเลือก วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส เข้ามาร่วมในทีมครั้งนี้ นับว่าโจ ไบเดนตัดสินใจได้ดีที่สุดสำหรับสหรัฐอเมริกา!!! กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหากอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีชัยชนะได้รับเลือกให้เข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาก็จะมีงานอันแสนท้าทายที่ต้องเข้าไปชะล้างสะสางในสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างเศรษฐกิจที่กำลังจะพังทลาย แก้ไขวิกฤติความแตกแยกที่ขณะนี้ภายในสหรัฐฯวุ่นวายยากที่จะซ่อมแซมได้ ดังนั้นการที่โจ ไบเดน มี วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส เข้ามาจับมือร่วมอยู่ในทีมโอกาสที่จะได้รับเลือกเข้าไปสู่ทำเนียบขาวตามคำทำนายของ ศาสตราจารย์ดร.อัลแลน ลิทช์แมน ก็คงจะกลายเป็นความจริงได้ไม่ยาก และคงจะสร้างประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่ามีประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุด และมีรองประธานาธิบดีที่เป็นสุภาพสตรีผิวสีคนแรกด้วยละครับ