นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการประชุมเรื่องการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยว่า หลังจากที่ไทยเจอวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ที่หน้ากากเป็นสินค้าที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในช่วงแรกและเกิดการขาดแคลนจนรัฐบาลต้องเข้ามาบริหารจัดการนั้น ปัจจุบันสถานการณ์การผลิตหน้ากากอนามัย เริ่มดีขึ้นโดยมีโรงงานเกิดใหม่รวมกว่า 30 แห่ง มีกำลังการผลิต 4.5 ล้านชิ้นต่อวันจากเดิมผลิตได้ 1.2 ล้านชิ้นต่อวันที่มีโรงงานผลิตเพียง 11 โรงงาน ซึ่งส่งผลให้เกิดความเพียงพอสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย บุคคลกลุ่มเสี่ยงที่มีความต้องการใช้ต่อวัน 2.3 ล้านชิ้น เกิดความเพียงพอ ขณะเดียวกันที่ผ่านมามีการนำเข้าหน้ากากจากต่างประเทศเข้ามาต่อเดือน 20 ล้านชิ้น และประชาชนเริ่มหันหันมาใช้หน้ากากผ้ากันมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการหน้ากากอนามัยในปัจจุบันมีเพียงพอที่จะสามารถวางจำหน่ายในระบบตลาดได้อย่างเสรีเพราะหน้ากากอนามัยส่วนเกินจากความต้องการเหลือประมาณ 1.2 ล้านชิ้นที่สามารถจำหน่ายในท้องตลาดได้ ทั้งนี้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ จึงได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจำหน่ายหน้ากากอนามัยใหม่ โดยปรับให้ผู้ผลิตจำหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศไทยสามารถจำหน่ายเข้าสู่ระบบปกติ โดยให้จำหน่ายราคาขายปลีกที่ไม่เกิน 2.50 บาทต่อชิ้น ส่วนผู้บริโภคจะหาซื้อได้หรือไม่นั้นต้องใช้เวลาเพราะจะเป็นการทยอยออกจำหน่าย แต่หากพบว่ามีการจำหน่ายเกินกว่าที่ กกร.กำหนด ผู้บริโภคสามารถโทรแจ้งมาที่ 1569 ซี่งมีโทษทั้งจำทั้งปรับ 5แสนบาท โดยแนะนำให้ประชาชนใช้หน้ากากผ้าควบคู่กับหน้ากากอนามัย เพราะหากทุกคนหันมาใช้หน้ากากอนามัยกันหมดอาจจะเกิดการขาดแคลนได้ ส่วนการส่งออกยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขเดิมที่ยังห้ามการส่งออก เพราะไวรัสโควิด-19 ยังไม่หายไปจากประเทศ 100% ดังนั้นต้องมีการเตรียมการและชะลดการส่งออกไว้ก่อน แต่จะมีการพิจารณาเป็นรายๆไปในกรณีที่เอกชนมีการขอการส่งออก