ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนส.ค.63 ข้าวเปลือกหอมมะลิ ปาล์มน้ำมัน สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ น้ำตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ และมันสำปะหลัง มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในเดือนสิงหาคม 2563 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้นได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 14,747-14,898 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.42-1.44 เนื่องจากสต็อกของผู้ประกอบการลดลงและได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 5 ของกลุ่มร้านอาหาร ปาล์มน้ำมันราคาอยู่ที่ 2.98-3.08 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.34-3.70 เนื่องจากมาตรการระบายสต็อกน้ำมันปาล์มดิบและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดมีแนวโน้มลดลงจากเดือนก่อน ทำให้โรงสกัดมีการแข่งขันกันรับซื้อเพิ่มขึ้น ประกอบกับพื้นที่ภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องเอื้ออำนวยให้คุณภาพของปาล์มน้ำมันดีขึ้น ขณะที่สุกร ราคาอยู่ที่ 72.74-73.18 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.08-1.69 เนื่องจากปัญหาการระบาดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรระลอก 2 ของจีนและเวียดนาม ทำให้เกิดการขาดแคลนสุกร จึงมีการสั่งซื้อเนื้อสุกรจากไทยเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณส่งออกเพิ่มจากวันละ 5,000-6,000 ตัว เป็น 10,000 ตัว และกุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 70 ตัว/กก. ราคาอยู่ที่ 147.25-148.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 0.17-0.68 เนื่องจากภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ส่งผลให้ความต้องการกุ้งของตลาดภายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณผลผลิตมีแนวโน้มลดลงในช่วงระหว่างการเพาะเลี้ยง ประกอบกับจีนงดนำเข้ากุ้งจากเอกวาดอร์ ทำให้กุ้งไทยมีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น ส่วนสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 8,711-8,857 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.27-1.91 เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังรอบ 2 เริ่มออกสู่ตลาด และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้ความสามารถการแข่งขันด้านราคาลดลง ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 15,799-15,853 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.26-0.60 เนื่องจากมีการนำเข้าผลผลิตข้าวเหนียวจากประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีราคาถูกกว่าเข้ามาภายในประเทศมากขึ้น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 8.01-8.04 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.00-1.50 เนื่องจากปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 1(เดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน) ขณะที่ความต้องการใช้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ยังน้อยกว่าผลผลิตที่ออกสู่ตลาด สำหรับน้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 11.50-11.61 เซนต์/ปอนด์ (8.04-8.12 บาท/กก.) ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.00-2.00 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง เป็นปัจจัยกดดันราคาเอทานอล จึงกระตุ้นให้โรงงานน้ำตาลของบราซิลเพิ่มสัดส่วนนำอ้อยไปผลิตเป็นน้ำตาลแทนการผลิตเอทานอล ทำให้มีการส่งออกน้ำตาลมากขึ้น ประกอบกับความเป็นไปได้ที่อินเดียจะระบายสต็อกน้ำตาลที่มีอยู่ประมาณ 14 ล้านตัน เป็นแรงกดดันให้ราคาน้ำตาลมีแนวโน้มลดลง ยางพาราแผ่นดิบชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 37.00-37.50 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.74-2.06 เนื่องจากเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าและราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้การส่งออกยางพาราแผ่นดิบของไทยลดลง อย่างไรก็ตามราคายางมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากสนับสนุนมาตรการภาครัฐ และความต้องการใช้ยางพาราภายในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมันสำปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.57-1.62 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.61-3.68 เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลผลิต โรงงานรับซื้อส่วนใหญ่ปิดทำการ ประกอบกับเป็นช่วงฝนตกชุกในหลายพื้นที่ปลูกสำคัญ ทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังมีเปอร์เซ็นต์แป้งต่ำ ส่งผลให้ราคาขายลดลง