คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ เพื่อก้าวเข้าไปสู่ทำเนียบขาวยังคงเหลือเวลาอีกแค่เพียง 95 วัน ดังนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” และ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเซฟตัวเองไว้ให้ดีๆ เพราะไม่สามารถจะทำสิ่งใดผิดพลาดจนไปสะกิดอารมณ์ของอเมริกันชน ที่อาจจะมีผลทำให้สิ่งที่เขาทั้งสองต่างคาดหวังและตั้งใจเอาไว้ต้องพลาดท่าหมุนกลับตาลปัตร และถึงแม้ว่าขณะนี้คะแนนนิยมของโจ ไบเดน กำลังนำหน้าเหนือประธานาธิบดีทรัมป์ เฉลี่ยอยู่ที่ 10% ก็ตาม แต่ก็ยังมิได้เป็นตัวตัดสินถึงชะตากรรมทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากยิ่งใกล้วันเลือกตั้งมากเท่าใด ความแตกต่างของคะแนนนิยมก็จะค่อยๆทะยอยลดลงไปเรื่อยๆ โดยประเด็นร้อนๆที่กำลังตกเป็นข่าวฮอตฮิตมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง การระบาดของโรคโควิด 19 ที่มียอดของผู้ติดเชื้อไวรัสมากขึ้น เรื่องภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเลวร้าย เรื่องจำนวนของคนว่างงานที่มีสูงมากขึ้นตามลำดับ และเรื่องการประท้วงเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากกรณีชายผิวสี จอร์จ ฟลอยด์ ที่ยังคงดำเนินอยู่ย่างเข้าเดือนที่สามแล้ว!!! และเนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจ โดยเหล่าผู้นำทั่วโลกต่างก็ตั้งความหวังมองตรงไปที่สหรัฐฯ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาสหรัฐฯเคยวางตนเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัยของมวลหมู่มนุษยชาติและเรื่องต่างๆอีกมากมายบนโลกใบนี้ แต่กลับปรากฏว่าเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้ามาบริหารประเทศท่าทีเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยหันไปใช้นโยบายโดดเดี่ยว ทั้งนี้การประชุมสุดยอดที่จัดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ เหล่าบรรดาผู้นำแทบทุกมุมโลกได้รวมตัวประชุมกัน เพื่อต้องการหาความร่วมมือในการแก้ปัญหาอันเร่งด่วนเกี่ยวกับโรคระบาดโควิด 19 รวมทั้งช่วยกันหาเงินบริจาคเพื่อสมทบในการค้นคว้าผลิตวัคซีนใช้ในการขจัดโรคโควิด 19 โดยที่สุดก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้นำของโลก โดยสามารถหาเงินบริจาคเพื่อการณ์นี้ได้ถึงแปดพันล้านเหรียญ!!! แต่ในการประชุมครั้งนี้กลับปรากฏว่าสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลมากที่สุด และถึงแม้ว่าผู้จัดการประชุมจะจัดที่นั่งสงวนเอาไว้ให้กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อย่างดีก็ตาม แต่กลับปรากฎว่าที่นั่งนั้นว่างเปล่า นับว่าสหรัฐอเมริกาพลาดโอกาสอันดีในการให้ความร่วมมือกับผู้นำของโลก อีกทั้งการประกาศนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ว่าด้วย “สหรัฐอเมริกาต้องมาก่อน” ทำให้ประเทศต่างๆที่เคยเป็นพันธมิตรอันดีเอือมระอาหันหน้าหนีไกล เป็นผลให้จีนแซงขึ้นหน้าไปอย่างอัตโนมัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2017 วันที่ประธานาธิบดีทรัมป์ป่าวประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสเกี่ยวกับโลกร้อนนั้น จีนส้มหล่นได้สวมบทบาทผู้นำแทนสหรัฐอเมริกาไปโดยปริยายด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้ออกมากล่าวแถลงว่า “ข้อตกลงปารีสถือเป็นโอกาสพิเศษของโลก ในการร่วมมือกำจัดโลกร้อน ซึ่งเป็นความพยายามของผู้นำบนโลกที่ต่างพยายามจะทำงานร่วมกัน แต่การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่เสียหายอย่างมาก” โดยไบเดนได้ให้คำสัญญาว่า “หากข้าพเจ้าได้รับเลือก ข้าพเจ้าจะนำสหรัฐฯเข้าไปให้ความร่วมมือในวันแรกเลยทีเดียว” อนึ่งปรากฏว่ามีคนอเมริกันมากถึง 59% ไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามของประธานาธิบดีทรัมป์ เท่ากับว่าเขาย้อนศรเดินสวนกระแสความต้องการของอเมริกันชนส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ออกมาประกาศถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก ซึ่งมีสมาชิก 197 ประเทศอีกเช่นเดียวกัน โดยอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็ได้ออกมาแถลงอย่างทันควันว่า “หากข้าพเจ้าได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี ข้าพเจ้าก็จะนำสหรัฐฯเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับองค์การอนามัยโลกตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว” โดยเขาให้เหตุผลว่า “เป็นสิ่งดีต่อสุขภาพอนามัยของคนอเมริกัน และยังเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์การอนามัยโลกอีกด้วย” และโจ ไบเดนได้ชี้ต่อไปว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ขาดความเป็นผู้นำ ตัดสินใจสะเพร่า” ส่วนคนอเมริกันถึง 59% เชื่อถือและศรัทธาต่อองค์การอนามัยโลกเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาต่างเล็งเห็นว่าองค์การนี้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเยาวชนล้วนสนับสนุนต่อองค์การนี้สูงมากทีเดียว สำหรับท่าทีของประเทศจีนนั้น กระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาแถลงการว่า รัฐบาลจีนรู้สึกเสียใจที่ประธานาธิบดีทรัมป์ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก เพราะจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประเทศด้อยพัฒนา ทั้งนี้การถอนตัวออกจากสององค์การสำคัญนี้ เป็นแค่เพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่ทำให้เห็นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ขาดวิสัยทัศน์ นำพาให้สหรัฐฯก้าวลงไปสู่ความตกต่ำ!!! อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงมีความเชื่อว่า หากเขาได้รับการสนับสนุนจากฐานการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันก็คงจะเพียงพอที่ทำให้ได้รับเลือกในสมัยที่สอง แต่กลับมิได้เป็นดั่งที่เขาหวังและตั้งใจ เนื่องจากขณะนี้ปรากฏว่านักการเมืองคนสำคัญๆหลายๆคนในพรรครีพับลิกันต่างพากันหมางเมินหันไปสนับสนุนโจ ไบเดน อาทิเช่น ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู.บุช, อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ โคลิน พาวเวลล์, วุฒิสมาชิก มิตต์ รอมนีย์ และล่าสุดนี้มีกระแสข่าวเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ว่า อดีตผู้ว่าฯจอห์น เคซิก แห่งรัฐโอไฮโอและสังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ได้รับความชื่นชมอย่างสูงจากประชากรโอไฮโอ ก็จะเป็นอีกผู้หนึ่งที่จะกล่าวปราศรัยในการประชุมของพรรคเดโมแครต เพื่อสนับสนุนโจ ไบเดน อย่างเป็นทางการด้วย อนึ่ง อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตระหนักดีว่าตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันเลือกตั้ง เขาไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆผิดพลาดโดยเด็ดขาด อีกทั้งยังไม่สามารถเสี่ยงในการตัดสินใจเลือกตำแหน่งว่าที่รองประธานาธิบดีอีกด้วย โดยก่อนหน้านี้เขาประกาศออกมาแล้วว่า ตำแหน่งรองประธานาธิบดีจะต้องเป็นสุภาพสตรี สำหรับสุภาพสตรีตัวเก็งทั้งหมด 13 คนนั้น ปรากฏว่า “วุฒิสมาชิกลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ” เป็นหนึ่งในตัวเก็งที่อาจจะดึงคะแนนจากกลุ่มทหารเพื่อนร่วมอาชีพสีเดียวกันกับเธอ รวมไปถึงประชากรในรัฐรอบข้างกับรัฐอิลลินอยส์ที่เธอเป็นตัวแทนอยู่ในขณะนี้เช่นกัน ตามติดมาด้วย “สมาชิกผู้แทนราษฎร วัล เดิมมิ่ง” นักการเมืองสุภาพสตรีผิวสี จากรัฐฟลอริด้า นักการเมืองฝีปากจัดจ้านท่านนี้ก็น่าจะเป็นตัวเก็งคนสำคัญที่จะมีส่วนช่วยให้คะแนนเสียงในรัฐฟลอริดาเพิ่มมากขึ้น เพราะหากว่า โจ ไบเดน สามารถเอาชนะในรัฐฟลอริดาได้ โอกาสที่เขาจะได้รับเลือกก็มีค่อนข้างสูง เนื่องจากรัฐนี้เป็นรัฐใหญ่ และในอดีตที่ผ่านมายังเป็นรัฐที่ทำให้เกมการเมืองเกิดการพลิกล็อก ส่วน “วุฒิสมาชิกคามาลา แฮริส” จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ แต่ดูเหมือนว่าโจ ไบเดน ไม่จำเป็นต้องพึ่งเธอในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพราะรัฐนี้เป็นฐานการเมืองสำคัญของพรรคเดโมแครตอย่างท่วมท้นอยู่แล้ว และหากจะมองหาผู้รอบรู้ด้านการต่างประเทศแล้วนั้น คงจะไม่มีใครเชี่ยวชาญช่ำชองได้เทียบเท่ากับ “ซูซาน ไรซ์” แต่ดูเหมือนว่าเธอยังไม่เคยได้รับเลือกในตำแหน่งทางการเมืองมาก่อนหน้านี้เลย แต่เนื่องจากโจ ไบเดน เคยร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับเธอ ครั้งที่เธออยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงในยุคของประธานาธิบดีบารัก โอบามา สมัยที่สอง เท่ากับว่าทั้งสองคนเคยทำงานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดมากกว่านักการเมืองคนอื่นๆ ทั้งนี้ความสำคัญในด้านการตัดสินใจเลือกตำแหน่งรองประธานาธิบดีนั้น โจ ไบเดน คงคำนึงอย่างหนักว่า ผู้นั้นจะต้องไม่เสี่ยงให้ประธานาธิบดีทรัมป์นำเรื่องราวไปหยิบยกกล่าวโจมตี และผู้นั้นจะต้องมีความพร้อมที่จะเข้าไปสวมบทบาทแทนประธานาธิบดีได้อย่างทันท่วงที และเหนือสิ่งอื่นใดจะต้องมีความพร้อมเข้าไปรับมือต่อรัสเซีย และจีน คู่อริของสหรัฐฯด้วยเช่นกัน กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นจะเห็นได้อย่างเด่นชัดเลยว่า อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีคุณสมบัติในการเป็นผู้นำเหนือกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ในแทบทุกๆด้าน แต่เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์เจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด แถมยังไม่มีน้ำใจนักกีฬาไม่ยอมแพ้ ฉะนั้นยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เขาจะงัดเอากลโกงอะไรออกมาใช้ ที่อาจจะรวมไปถึงการดึงเอามือของต่างชาติมาใช้พิชิตศึกอันใหญ่หลวงครั้งนี้ ซึ่งมันย่อมจะเกิดขึ้นได้ละครับ