นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายตัว - 8.5% ต่ำกว่าที่เคยประมาณการเดิมเมื่อ ม.ค.ที่ 2.8% และต่ำกว่าปีก่อนที่ขยายตัว 2.4% ซึ่งถือว่าต่ำสุดในประวัติการณ์ และต่ำกว่าช่วงการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2541 ที่ขณะนั้นเศรษฐกิจชะลอตัวถึง -7.6% ด้วย ทั้งนี้เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เครื่องยนต์ทุกตัวชะลอตัวลงทั้งหมด โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่จะชะลอตัว -2.6% การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว -12.6% มูลค่าการส่งออกชะลอตัว -11% การนำเข้าชะลอตัว -14.2% สำหรับการประมาณการเศรษฐกิจปี 63 อยู่บนสมมติฐาน 5 ประการ ประกอบด้วย อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 15 ประเทศคู่ค้าที่คาดว่าจะติดลบ 4.1%, ค่าเงินบาทปี 63 เฉลี่ยอยู่ที่ 31.7 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากปี 62 ราว 2.9%, ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 42 ดอลลาร์/บาเรลล์, จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 6.8 ล้านคน ลดลง 82.9 % และรายได้จากนักท่องเที่ยวลดลง 0.34 ล้านล้านบาท และรายจ่ายภาคสาธารณะ โดยคาดว่าจะเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายที่ 93.3% รายจ่ายประจำ 99.7% และรายจ่ายลงทุน 60% อย่างไรก็ตาม การประเมินภาพรวมเศรษฐกิจครั้งนี้ ไม่ได้นำปัจจัยการเมืองมาประกอบการพิจารณา ซึ่งยึดปัจจัยด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเรื่องการเมืองถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายมั่นคงที่จะต้องดูแล นายลวรณ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ไปต้องติดตามสถานการณ์โรคโควิด-19 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากได้รับสัญญาณบวกในการผลิตวัคซีนที่หลายประเทศเข้าสู่การทดลองในระยะที่ 3 คาดว่าไม่เกินกลางปีหน้าจะสามารถผลิตวัคซีนออกมาได้ ซึ่งจะส่งผลให้สถานการณ์โควิดคลี่คลายลงไป ส่งผลดีต่อการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศ โดยคาดว่าปี 64 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประมาณ 14-15 ล้านคน นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่า ธุรกิจที่เกี่ยวกับด้านดิจิทัล และ e-Commerce จะขยายตัวได้ดีในอนาคต รองรับการปรับตัวสู่วิถีใหม่ (New Normal) พร้อมกับยืนยันว่า กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด และพร้อมออกมาตรการดูแลที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง มั่นใจว่ามาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนาต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 1-3 เป็นหนึ่งในกลไกที่สำคัญในการช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และจะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้เดินต่อไปได้ มาตรการดังกล่าวจะเป็นรากฐานสำคัญให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้อย่างมั่นคงเมื่อวิกฤติครั้งนี้ผ่านพ้นไป นายลวรณ กล่าวว่า การฟื้นตัวเศรษฐกิจจะเป็นแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าจะเป็นแบบเครื่องหมายถูก หรือค่อยๆฟื้นตัวขึ้นไป ส่วนการลงทุนภาคเอกชนนั้น เชื่อว่าหลังจากรัฐบาลเดินหน้าไปหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จะเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิดส่งผลกระทบโดยตรง จึงจำเป็นต้องเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจมายังเรื่องของการบริโภคก่อน "มาตรการดูแลและเยียวยาจากภาครัฐที่ออกมามีผลอย่างมาก ช่วยให้ประชาชน ธุรกิจ รับมือ ประคับประคองให้ผ่านไปได้ ส่วนมาตรการเสริมด้านท่องเที่ยวที่ออกมาไม่ได้หวังว่าจะให้กลับมาคึกคัก แต่หวังให้กระจายตัวไปในทุกภูมิภาค...ซึ่งสิ่งที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ คือ การบริโภค ซึ่งติดตามอยู่ โดยย้ำว่าเราดูแลทุกมิติ โดยพร้อมออกมาตรการดูแลที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา"