คนข้างวัด / อุทัย บุญเย็น นับแต่ปีนี้ไป ประเทศไทย (และโลกทั้งมวล) จะประสบความทุกข์ร้อนลำบากยิ่งขึ้น อันเนื่องมาจากโรคระบาด “โควิด-19” หรือ ไวรัส (ไข้หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่)โคโรนา ความทุกข์ร้อนลำบากนี้ เริ่มจากปัญหาทางเศรษฐกิจ แล้วจะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาทางสังคมด้านอื่นๆอีกมากมาย แม้แต่ “การเมือง” (หรือการปกครองประเทศ) ก็จะมีปัญหารุมเร้า จนยากที่จะบริหารบ้านเมืองให้อยู่รอดได้ คงจะมีรัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่า ขึ้นมาแสดงฝีมือเพื่อให้ประเทศของตนอยู่รอด ล่าสุดได้ทราบว่า มีการปิดกิจการ-เลิกจ้างในหลายกิจการ ซึ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้โลกดำรงอยู่ได้ ทราบข่าวจาก “ธนาคารไทยพาณิชย์” ว่า เปิดโอกาสให้พนักงานอายุ 55 ปี สมัครลาออก (ลาออกก่อนเกษียณอายุ) ในขณะที่แบงก์ยักษ์ของโลก(ทั่วโลก) ประกาศปลดพนักงานกว่า 35,000 คน! ธุรกิจการโรงแรมและการบริหาร ทราบจากข่าวว่า Starbucks ประกาศปิดกิจการกว่า 400 สาขา (ทั่วโลก) Central Festival Hatyai ประกาศปิดกิจการ (ซึ่งประกอบกิจการมา 26 ปี)! “ปาลิโอ” (เขาใหญ่) ประกาศปิดกิจการ ในขณะที่ Horts (บริษัทรถเช่า) ยื่นประกาศภาวะล้มละลาย Sheraton (สุขุมวิท) ประกาศปิดกิจการ-ชดเชยค่าจ้างพนักงาน Wuttisak Clinic ขาดทุนกว่า 10 ล้าน ยื่นล้มละลายและขอฟื้นฟูกิจการ ธุรกิจเสื้อผ้า-เครื่องประดับ “Muji” ในสหรัฐอเมริกา ยื่นล้มละลายและปิดกิจการกว่า 18 สาขา (ทั่วโลก) ในขณะที่ Zara ปิดกิจการกว่า 250 สาขา (ทั่วโลก)! Nike (ไนกี้) เตรียมประกาศปลดพนักงาน(ทั่วโลก) ส่วน Victoria’s Secret ในอังกฤษ(UK) ประกาศล้มละลายและปิดกิจการกว่า 250 สาขา Rolex (นาฬิกา) ประกาศหยุดกิจการชั่วคราว Patek Philippe Chanel ประกาศปิดโรงงาน หยุดการผลิตชั่วคราว ประกาศปิดโรงงานที่ประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส และ สวิตเซอร์แลนด์ ขึ้นราคากระเป๋า 20% ชดเชยรายได้ที่หายไป Gucci ประกาศหยุดการผลิตชั่วคราว ในขณะที่ Michael Kors ประกาศปิดกิจการกว่า 150 สาขา (ทั่วโลก)! โรงงานผลิตชุดชั้นในสตรี ที่ปราจีนบุรี ประกาศปิดกิจการ-ปลดพนักงานกว่า 600 คน! Thai Airways ยื่นล้มละลายขอฟื้นฟูกิจการ Thai Lion Air ประกาศเลิกจ้างพนักงานอายุงานไม่ถึงปี กว่า 120 คน NokScoot ประกาศปิดกิจการ ชดเชยค่าจ้างพนักงานกว่า 425 คน Emirates Airline เตรียมประกาศปลดพนักงานกว่า 9,000 คน British Airways เตรียมประกาศลดพนักงาน กว่า 12,000 คน Virgin Australia Airline (สายการบินใหญ่อันดับ 2 ของออสเตรเลีย) ประกาศล้มละลาย และ Lufthansa (สายการบินใหญ่ที่สุดของเยอรมนี) เตรียมประกาศปลดพนักงานกว่า 26,000 คน! ธุรกิจสื่อ(ทีวี, หนังสือพิมพ์,คอมพิวเตอร์ ฯลฯ) ทีวีช่อง 3 เปิดให้พนักงานสมัครใจลาออกเพื่อลดขนาดองค์กร(อีกครั้ง) Mono Music Group ประกาศหยุดกิจการทั้งหมด ปลดพนักงานกว่า 200 คน หนังสือพิมพ์ “คมชัดลึก” ประกาศปิดกิจการ (18 ปี) เลิกจ้างพนักงาน (ชดเชย 10 เดือน) และ Microsoft เตรียมประกาศปลดพนักงานกว่า 3,000 คน (จะใช้ระบบ IA (หุ่นยนต์) แทน) ธุรกิจการบิน(เพิ่มเติม) Qantas สายการบินแห่งชาติออสเตรเลีย ประกาศเลิกจ้างพนักงาน 6,000 คน Scandinavian Airlines ประกาศเลิกจ้างกว่า 5,000 คน KLM เตรียมประกาศปลดพนักงานกว่า 2,000 คน Trans States Airlines ประกาศปิดกิจการ เลิกจ้างพนักงานทั้งหมด Flybe (สายการบินของอังกฤษ) ยื่นล้มละลายและปิดกิจการ Avianca Airlines (สายการบินใหญ่อันดับ 2 ของละตินอเมริกา) ยื่นล้มละลาย ธุรกิจรถยนต์-เครื่องยนต์ Nissan เตรียมประกาศลดพนักงาน 20,000 คน (ทั่วโลก) Chevrolet ในสหรัฐอเมริกา ยื่นล้มละลาย ขายโรงงานเลิกขายรถในประเทศไทยปีพ.ศ. 2563 นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ชลบุรี) ประกาศปลดพนักงานกว่า 1,200 คน Misubshi Electric (ชลบุรี) ประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่า 1,000 คน Uber เตรียมประกาศปลดพนักงานกว่า 3,000 คน ปิดสำนักงาน 45 แห่ง (ทั่วโลก) บริษัทไทยซัมมิท ประกาศลดพนักงาน เปิดให้สมัครใจลาออก จ่ายสูงสุด 18.3 เดือน Rolls-Royce เตรียมประกาศปลดพนักงานกว่า 9,000 คน (ทั่วโลก) ธุรกิจบริการ-โรงแรม Pace (และบริษัทย่อย) ยื่นล้มละลาย ขอฟื้นฟูกิจการ Airbnb ประกาศเลิกจ้างพนักงานกว่า 1,900 คน (25% ของพนักงานทั้งหมด) Isetan Thailand ประกาศกิจการหมดสัญญาที่ Central World สิ้นเดือน ส.ค.63 คุ้มขันโตก (เชียงใหม่) ประกาศปิดกิจการ เลิกจ้างพนักงานทั้งหมด Thai Union ประกาศปิดกิจการ ปลดพนักงานทั้งหมด และโรงงานที่มาบตาพุด (และนครปฐม) ประกาศปิดกิจการ เลิกจ้างพนักงานทั้งหมด คงจะมีข่าวร้ายทางเศรษฐกิจพรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ ทั้งในประเทศไทย ทั้งในประเทศอื่นๆทั่วโลก อันเป็นวิกฤติที่เกิดจากโคโรนาไวรัส (โควิด-19) ซึ่งเป็นโรคระบาดไปทั่วโลก วิกฤติที่ร้ายแรงที่สุด คือวิกฤติทางเศรษฐกิจ (ประเทศไทยประเมินว่า จะมีคนไทยตกงานนับแต่บัดนี้ถึง 8 ล้านคน ถึง 11 ล้านคน! เมื่อก่อน เมื่อมีข่าวว่า มีคนที่ไม่มีงานทำเป็นเรือนแสน ก็ตกใจกันแล้ว เมื่อมีคนตกงานมากๆ ปัญหาที่จะตามมาคือ จะมีโจรผู้ร้ายในบ้านเมืองมากขึ้น จะเกิดปัญหาคนฆ่าตัวตายมากขึ้น จะเกิดปัญหาทางสังคมหลายด้าน และในที่สุด จะเกิดปัญหาทางการเมือง(การปกครอง) ตามมา อย่างไม่มีทางเลือก อาจจะเป็น “กลียุค” ไปทั้งโลก! มานึกดู ก็เห็นได้ง่าย เฉพาะคนยากจน ซึ่งปกติก็ไม่มีจะกินอยู่แล้ว ปกติเขาต้องหยิบยืมเงิน “นอกระบบ” มาใช้ คนพวกนี้จะอยู่กันอย่างไร เพราะลำพังปากท้องหรือชีวิตตัวเอง ก็จะเอาไม่รอดอยู่แล้ว ยิ่งชีวิตของลูกหลานและคนในครอบครัวเขาอีก พวกเขาจะดิ้นรนกันอย่างไร? เมื่อก่อนเงินกู้ “นอกระบบบ” ยังพอหาได้ แต่ต่อไปนี้เงินจากแหล่งต่างๆคงจะหายากไปด้วย พวกเขาจะไปหยิบยืมกันที่ไหน เด็กๆซึ่งช่วยตัวเองยังไม่ได้ คงจะลำบากกันทั่วหน้า ในที่สุด คนในชนบทก็จะหันกลับไปปลูกผักปลูกหญ้า พอได้อยู่ได้กินไปวันๆ รัฐบาลก็จะค่อยๆขัดสนไปด้วย เพราะเก็บภาษีไม่ได้ และเงินของแผ่นดินส่วนหนึ่งก็จะต้องเจียดไว้ใช้หนี้ที่กู้ยืมเขามา คงจะงดการก่อสร้างถนนหนทาง และสิ่งสาธารณะไปเป็นอันมาก เพราะไม่มีเงิน ในด้านความเดือดร้อนของประชาชน เรื่องปากท้องน่าจะจำเป็นที่สุดเกรงว่า ชาวบ้านจะไม่มีกินพอประทังชีวิตในแต่ละวัน อยากให้รัฐบาลอำนวยการให้วัดและโรงเรียนของรัฐบาล ช่วยเหลือเรื่องนี้ เป็นการ “พลิกวิกฤติเป็นโอกาส” คือสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน-วัด และโรงเรียน (ที่ใช้คำย่อว่า “บวร” นั่นแหละ) ในพื้นที่ใด มีวัดสายกรรมฐานหรือวัดป่า ซึ่งพระสงฆ์ฉันอาหารในบาตร ให้ทางวัดเอื้อเฟื้อชาวบ้านด้วยการแบ่งอาหารไว้ให้ชาวบ้านที่ไปทำบุญภาคเช้า ให้ชาวบ้านได้ทานอาหารไปพร้อมกับพระสงฆ์ เพราะพระสายกรรมฐานเลือกอาหารด้วยช้อนกลางอยู่แล้ว อยากให้รัฐบาลตั้งงบค่าอาหารเพิ่มให้ทางวัด (อ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) เพื่อให้ชาวบ้านทำอาหารเพิ่มให้เพียงพอแก่ชาวบ้านด้วย ในการนี้อาจตั้งงบไว้ซื้อ “ถาดหลุม” ไว้บริการชาวบ้านด้วย ผู้บริการอาหารในโครงการนี้ ให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียน (คือครูและนักเรียนช่วยกัน) จะผ่อนเบาการกินในภาคเช้าแก่ชาวบ้านได้ไม่น้อย ในภาคอาหารกลางวัน (สำหรับพื้นที่ที่ไม่มีวัดสายกรรมฐาน) ให้นิมนต์พระสงฆ์ไปฉันอาหารเพลที่โรงอาหารของโรงเรียน ใช้ “ถาดหลุม” ทั้งพระสงฆ์ นักเรียน และชาวบ้าน โดยให้ชาวบ้านและนักเรียนช่วยกันบริการอาหาร(ทั้งถวายแก่พระสงฆ์ ทั้งบริการแก่นักเรียนด้วยกัน ให้ครูเป็นผู้บริหารโครงการ (อยากให้รัฐบาลเพิ่มงบค่าอาหารให้เพียงพอแก่ชาวบ้าน นักเรียนและพระสงฆ์) คิดว่า ถ้ารัฐบาลคิดการอย่างนี้ จะช่วยบรรเทาเรื่องปากท้องของชาวบ้านได้อย่างน้อยวันละ 2 มื้อ และจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในเชิงวัฒนธรรมระหว่างชาวบ้าน วัด และโรงเรียนได้เป็นอย่างดีครับ โดยปกติพระสงฆ์(สายกรรมฐาน) จะฉันอาหารในบาตรใครบาตรมัน ไม่ตั้งวงฉัน และใช้ช้อนกลางตักอาหาร และไม่พูดคุยกันระหว่างฉันจะเป็นแบบอย่างให้ชาวบ้านและนักเรียนได้เรียนรู้การกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะไปในตัว งานด้านนี้ รัฐบาลน่าจะให้ข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการและข้าราชการในสำนักงานพระพุทธศาสนา ช่วยกันคิดขึ้นและดำเนินการ อย่างน้อยก็เป็นการบรรเทาปัญหาเรื่องปากท้องในช่วงวิกฤตินี้ สำหรับศาสนาอื่น อาจจะคิดโครงการนี้ในลักษณะเดียวกัน เช่น ศาสนาอิสลาม รัฐบาลให้ศูนย์กลางอยู่ที่มัสยิด เป็นต้น (ถ้าร่วมกันที่วัด(ของพุทธศาสนา) ยิ่งจะเป็นการดี ว่าไปแล้ว การพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เกิดขึ้นได้เสมอแต่ดูเหมือนรัฐบาลจะไม่คิดอ่านใดๆ