นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีการแพร่เชื้อของโควิด-19 จากทหารอียิปต์ว่า เชื่อว่ารัฐบาลและบุคลากรด้านสาธารณสุขจะรับมือได้ และไม่ต้องออกมาตรการควบคุมแรงเหมือนรอบแรก แต่หากเกิดการระบาดรอบ 2 ในไทย ธปท.พร้อมออกมาตรการเพิ่มเติมในการเข้ามาดูแลเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเงิน พร้อมย้ำการออกมาตรการต่างๆมีการพิจารณาและชั่งน้ำหนักถึงผลดีผลเสีย เพราะทุกนโยบายไม่ฟรี “เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุด ซึ่งเป็นผลจากมาตรการล็อกดาวน์ และจะกลับมาฟื้นตัวช่วงไตรมาส 3 พร้อมยืนยัน ธปท.ยังไม่หยุดใช้มาตรการดูแลเศรษฐกิจ แต่จะให้น้ำหนักไปที่การฟื้นฟูมากขึ้น และยืนยันไม่ใช้นโยบายประกาศพักชำระหนี้เป็นการทั่วไป เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของสถาบันการเงินได้ และอาจกระทบต่อวินัยการเงิน เนื่องจากยังมีผู้ประกอบการหรือลูกหนี้บางรายที่ยังมีความสามารถผ่อนชำระหนี้และดอกเบี้ยได้ตามปกติ อีกทั้งสถาบันการเงินยังมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก” ขณะที่ตัวเลขปล่อยกู้ซอฟท์โลนวงเงิน 500,000 ล้านบาท ล่าสุดสามารถปล่อยสินเชื่อได้แล้ว 103,000 ล้านบาท แม้จะต่ำกว่าเป้าหมาย แต่เงินดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ 2 ช่วงคือ การเยียวยาและการฟื้นฟูหลังภาคธุรกิจกลับมาเปิดกิจการได้ตามปกติ ซึ่ง ธปท.เตรียมขอขยายระยะเวลาใช้เงินดังกล่าวออกไปอีกหลังครบกำหนดเวลาสิ้นเดือนธันวาคม 2563 รวมทั้งการหาแนวทางการเข้าถึงสินเชื่อเพิ่มขึ้น เช่น การให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาช่วยค้ำประกันเพิ่ม เป็นต้น นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท.กล่าวว่า กรณีที่ไทยจะใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0% นั้น เกิดขึ้นยาก ที่ผ่านมาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 3 ครั้งและมีสัญญาณตอบกลับที่ดีจากสถาบันการเงิน ซึ่งไทยไม่สามารถดำเนินอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำมากเหมือนต่างประเทศได้ เพราะมีบริบทและโครงสร้างที่ต่างกัน อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและส่งผลกระทบต่อผู้ออมเงินได้