เป็นเรื่องบังเอิญที่เข้าตำรา “ปลาตายน้ำตื้น” หรือ เป็นกระบวนการวาทกรรม เมื่อ “3เกลอหัวแข็ง” แห่งคณะก้าวหน้า อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ต้องมาติดบ่วงเรื่องเงินๆทองๆจนกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์อีกครั้ง หลังกระแสสังคมติดตามตรวจสอบเงินบริจาคไฟป่าของ ฌอน บูรณะหิรัญ ลามมาถึงโครงการคอนเสิร์ตระดมทุน “เมย์เดย์ เมย์เดย์ เราช่วยกัน” โดยคราวนี้ ผู้ที่รับบทหนัก คือ พรรณิการ์ วานิช หรือ “ช่อ” ทั้งที่โครงการนี้ เปิดขึ้นมาเพื่อ “บลัฟ” โครงการเราไม่ทิ้งกัน ที่รัฐบาลแจกเงิน 5,000 บาทเยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีความล่าช้า มีขั้นตอนในการตรวจสอบคุณสมบัติมากเกินไป และข้อมูลสับสน โครงการ “เมย์เดย์ เมย์เดย์”จึงรับบริจาคเงินเพื่อนำไปแจกให้กับประชาชนคนละ 3,000 บาทอีกต่อหนึ่ง โดยไม่ต้องมีขั้นตอนของการตรวจสอบคุณสมบัติ ดราม่าบังเกิดเมื่อ ว่าที่ร้อยตรีบุญเกื้อ ปุสสเทโว อดีตผู้ช่วย ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และเป็นหนึ่งในผู้เสียหายร่วมบริจาคจำนวน 1 สตางค์ ออกมาเรียกร้องให้แสดงหลักฐานว่ามีการแจกเงินจริง พร้อมกับเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ตรวจสอบความโปร่งใสของโครงการ โดยตั้งข้อสังเกตโครงการนี้ว่า ไม่ควรจะใช้บัญชีส่วนตัวของ “ช่อ” รับบริจาค และการเพิ่งประกาศรายชื่อผู้ร่วมบริจาคทั้ง ๆ ที่แถลงข่าวปิดโครงการไปนานแล้ว หะแรกท่าทีของ “ช่อ” ขึงขังออกมาขู่ฟ้อง “บุญเกื้อ” ให้ลบโพสต์ แต่เมื่อถูกกระแสสังคมกดดันจึงยอมนำรายชื่อ ผู้ที่ได้รับแจกเงินทั้ง 2,427 ราย มาเปิดเผยผ่านเพจของคณะก้าวหน้า แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เมื่อ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตผู้บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย โดดเข้ามาร่วมวงตรวจสอบด้วย โดย “หมอวรงค์” อ้างว่าสุ่มตรวจจากรายชื่อ เพียง 15 ชื่อ พบว่า “ไม่ได้มีการโอนเงินจริง” จึงจี้ให้แสดงหลักฐานสเตตเมนต์ “ถ้าโชว์ไม่ได้ อาจต้องมีเรื่องต่อ เพราะเงินที่รับโอนมา ไปเก็บไว้ที่ไหน มีการทุจริตเกิดขึ้นแล้วในโครงการ เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน เพราะเงินนี้ พวกคุณประกาศออกมาว่า เป็นเงินบริจาคตามโครงการ 'เมย์เดย์ เมย์เดย์' ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่กลับไม่ได้โอนเงินตามที่ประกาศ เมื่อเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน ประชาชนที่โอนมา ก็เป็นเจ้าทุกข์ ก็มีสิทธิ์แจ้งความดำเนินคดี นำข้อมูลของผมไปขยายผลได้เลย” ฟากคณะก้าวหน้า จึงออกแถลงการณ์ผ่านเพจคณะก้าวหน้าว่า คณะก้าวหน้าได้เปิดบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขบัญชี 409-450005-8 ชื่อบัญชีน.ส.พรรณิการ์ วานิช ขึ้นในวันที่ 1 พ.ค. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ถึงวันที่ 3 ก.ค. 2563 มีการโอนเงินเข้าบัญชีทั้งหมด 7,751,783 บาท จากธุรกรรมทั้งสิ้น 15,383 ธุรกรรม มีการโอนเงินออกทั้งสิ้น 7,529,000 บาท จากธุรกรรมทั้งสิ้น 2,286 ธุรกรรม มีเงินสดเหลือในบัญชีทั้งสิ้น 222,783 บาท ณ วันปิดบัญชี 3 ก.ค. 2563 เงินโอนออกทั้ง 7.529 ล้านบาทนั้น โอนถึงมือประชาชน 2,443 ครั้ง ถึงมือประชาชน 2,431 คน สังเกตว่าจำนวนประชาชนที่ได้รับเงินที่เราประกาศไว้คือ 2,427 คน จำนวนครั้งที่โอนมากกว่าจำนวนผู้ได้รับเงิน 16 ครั้ง มาจาก 2 สาเหตุ ได้แก่ 1. มีผู้ได้รับโอน แต่ตกหล่นในการใส่รายชื่อในประกาศ 4 คน2. จำนวนครั้งที่โอนมากกว่าจำนวนผู้ที่ได้รับเงิน 12 รายการ เกิดขึ้นจาก ธนาคารโอนไม่ผ่าน 5 ธุรกรรม และพนักงานโอนซ้ำ 7 ธุรกรรม ในกรณีพนักงานโอนซ้ำนั้น ผู้รับและ/หรือพนักงานที่โอนซ้ำ ได้นำเงินกลับมาคืนครบ 6 รายการ ผู้ได้รับซ้ำไม่โอนคืน 1 รายการ “คณะก้าวหน้ายืนยันว่าเรายินดีที่ประชาชนตั้งคำถามและขอให้เราแสดงความโปร่งใสในการจัดการเงินระดมทุนก้อนนี้ แต่กลับมีบุคคลบางกลุ่ม ฉวยโอกาสใช้จังหวะดังกล่าว ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อให้สังคมเข้าใจผิด โกรธและเกลียดเรา นี่เป็นวิธีการทำงานการเมืองที่สกปรก ทำให้เราเสียเวลา เสียทรัพยากร แทนที่จะได้ใช้เวลาและทรัพยากรดังกล่าวทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ คณะก้าวหน้ายืนยันที่จะสร้างสังคมที่น่าอยู่กว่านี้ด้วยการทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมา และยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยโดยไม่ย่อท้อ หวังว่าประชาชนจะเห็นถึงความจริงใจของเรา และยืนหยัดเคียงข้างเรา” กระนั้น “หมอวรงค์” ยังไม่ยอมถอย เดินหน้าเปิดหลักฐานใหม่ว่า รายชื่อของผู้รับเงินบริจาค 15 รายชื่อ ที่ขอดูสเตทเมนต์ การโอนเงินจากคณะก้าวหน้า ตามที่ขอล้วนแล้วแต่เป็น "อวตาร" ไม่มีตัวตนจริงในโลกใบนี้ นั่นทำให้ได้เห็นท่าทีเกรี้ยวกราดของ “ช่อ” ออกมาเรียกร้องให้ “หมอวรงค์”ขอโทษ มิฉะนั้จะดำเนินการทางกฎหมาย “อยากถามคุณได้แสดงหลักฐานหรือยังว่าบุคคลที่รับเงินเป็นคนอวตาร มีแต่การพูดลอยๆและโกหกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นใครย่อมไม่ควรถูกกล่าวหาด้วยเกมการเมืองราคาต่ำเช่นนี้ โดยไม่มีต้นทุนอะไรเลย เพราะมีการกล่าวหาเรา แต่กลับไม่มีหลักฐานมาแสดงและปล่อยให้ภาระการพิสูจน์เป็นของอีกฝ่าย ดังนั้น เมื่อเราแสดงหลักฐานแล้วขอให้ไปช่วยดูด้วยและพิจารณาข่าวสารด้วยใจเป็นธรรม ซึ่งทั้งหมดจะมีการฟ้องและจะมีการพิสูจน์กันในชั้นศาล” อีกทั้ง “ช่อ”ยังมอบหมายให้ทีมกฎหมายยื่นฟ้อง “บุญเกื้อ” ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหายจำนวน 1 ล้านบาท โดยศาลกำหนดนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 26 ตุลาคม 2563 อย่างไรก็ตาม หากใครติดตามวิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับชาวคณะก้าวหน้า จะเห็นได้ว่าวาทกรรม “ถูกใส่ร้ายป้ายสี”นั้น มักถูกนำมาเป็นกลยุทธ์ในการตอบโต้ทางการเมืองปลุกเร้าให้สังคมคล้อยตาม ที่ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การอยู่ในแสงสปอตไลต์ทางการเมืองเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ระมัดระวังในการดำเนินการต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อมีมือกระบี่ด้านกฎหมายอยู่ข้างกาย อย่างปิยบุตร แสงกนกกุล แต่หลายเรื่องที่ดุ่มเดินไปติด “กับดัก”ตลอด เช่น กรณีที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิทางการเมืองปมถือหุ้นสื่อ และเมื่อมาถึงคราวของ “ช่อ” การรับบริจาคในโครงการ “เมย์เดย์ เมย์เดย์” นั้น เซียนกฎหมายปล่อยรอดหูรอดตาไปได้อย่างไร ว่าการรับบริจาคในที่สาธารณะ จะต้องขออนุญาตกรมการปกครองตามพ.ร.บ.เรี่ยไร กระนั้นแม้อาจจะอนุโลมให้ ได้เนื่องจากเป็นเรื่องของการช่วยแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน แต่การเปิดบัญชีเงินฝากโดยใช้ชื่อส่วนตัวของ “ช่อ”ก็สะท้อนถึงความหละหลวม แทนที่จะใช้ชื่อองค์กรร่วมในชื่อบัญชีแล้วใส่ชื่อส่วนบุคคลต่อท้ายเช่นเดียวกับโครงการรับบริจาคอื่นๆ กลับไม่ดำเนินการ อีกทั้งในการชี้แจงของคณะก้าวหน้าเองเรื่องเงินบริจาค ยังมีข้อสังเกตว่า หลังจากวันที่ 3 พฤษภาคม ยังมีผู้มีจิตศรัทธาสมทบเงินเข้าสู่โครงการอีกเป็นจำนวนหนึ่ง มียอดเงินรวมอยู่ที่ 422,783 บาท ได้นำเงิน 200,000 บาท ไปใช้ในโครงการจ่ายค่าน้ำประปาให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยในชุมชนต่างๆ รวมเป็นเงิน 52,349 บาท ในค่าน้ำรอบเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน เงินส่วนนี้ยังเหลืออีก 147,650 บาท โดยระบุว่าจะทยอยจ่ายค่าน้ำประปาให้กับครอบครัวที่ลำบาก รวมถึงใช้ในการแจกจ่ายอุปกรณ์การเรียนให้กับลูกหลานของคนในชุมชนที่มีรายได้น้อย เพื่อผ่อนภาระให้กับผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม ขณะที่เงินส่วนสุดท้ายจำนวน 222,783 บาทนั้นยังไม่ได้ถูกใช้ กรณีดังกล่าวย่อมเกิดข้อกังขาว่า นำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือไม่ ซึ่งการขอรับบริจาคนั้น หากมีการหลอกลวงหรือมีเจตนาในการฉ้อโกง หรือฉ้อโกงประชาชน ก็จะมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือมาตรา 343 แล้วแต่กรณี รวมไปถึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท และอาจจะถูกตรวจสอบทรัพย์สิน เนื่องจากความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชนนั้น เป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน นอกจากนี้การที่ “ช่อ” เอาชื่อตัวเองเปิดบัญชีรับบริจาคนั้น อาจเสี่ยงที่จะเดินซ้ำรอย อดีตนักธุรกิจรายหนึ่ง ที่เคยเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ใช้ชื่อเปิดบัญชีรับเงินแทน แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. จนถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษีกว่า 572 ล้านบาท เมื่อไม่มีเงินจ่ายจึงถูกฟ้องล้มละลาย และโดนอายัดทรัพย์และอายัดบัญชีทั้งหมด เนื่องจากตามหลักการแล้วผู้ที่ได้รับเงินจากการรับบริจาคไม่มีกฎหมายยกเว้นภาษีไว้ จึงมีหน้าที่นำเงินได้จากการรับบริจาคไปยื่นเสียภาษีเงินประจำปี แต่หากผู้รับบริจาคได้ตั้งตัวเองเป็นตัวแทนในการรับบริจาค ต้องทำบัญชีรายรับ รายจ่ายแยกต่างหากจากบัญชีส่วนตัว และนำเงินที่ได้รับจากการบริจาคนั้นไปบริจาคทั้งหมดตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ คือเข้า100-ออก100จึงจะถือว่าไม่เป็นเงินได้ของผู้รับบริจาค หากมีการตรวจสอบพบภายหลัง ผู้รับบริจาคไม่ได้นำเงินได้ที่รับจากการบริจาคไปบริจาคต่อทั้งหมด ก็สามารถเรียกให้มาเสียเพิ่มเติมภายหลังได้ หากพ้นกำหนดการยื่นแบบไปแล้ว ก็จะมีภาระเรื่องเงินเพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ตาม กรณีเงินบริจาคเมย์เดย์ ที่ “ช่อ” ตั้งการ์ดใช้กฎหมายฟาดฟันกับศัตรูทางการเมืองอยู่นั้น เมื่อพิจารณาจากบริบทการเมืองที่ผ่านมาแล้ว อย่าดูเบา “มือปราบจำนำข้าว”อย่าง “หมอวรงค์” ขณะเดียวกันก็หวั่นใจ ทีมกฎหมายของคณะก้าวหน้า จึงไม่รู้ว่างานนี้ “ใครติดกับดักใคร?”