WHA Group ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนในการออกหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2563 มูลค่าเสนอขายรวม 4,000 ล้านบาท ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทสะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง และแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจน มั่นใจครึ่งปีหลังธุรกิจเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจโลจิสติกส์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องตามธุรกิจ E-Commerce และ Consumer ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจ่อขายที่ดินภายหลังการคลี่คลายของสถานการณ์โควิด-19 น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า บริษัทได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนในการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2563 มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท หลังจากที่เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ถึง 2 กรกฎาคม 2563 ซึ่งแบ่งเป็น 3 ชุด โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 จำนวน 2,050 ล้านบาท มีอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.30 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2566 ส่วนชุดที่ 2 จำนวน 1,450 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 3.75 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2567 และหุ้นกู้ชุดที่ 3 จำนวน 500 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.20 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2568 “สะท้อนถึงความความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุน ที่มีต่อดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งนี้เป็นผลมาจากแผนการขยายธุรกิจที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน ความมุ่งมั่นในการบริหารงาน ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รวมถึงโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง ทำให้ตอบโจทย์ความน่าเชื่อถือของกลุ่มนักลงทุน สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือ เงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทและ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน” ทั้งนี้หุ้นกู้ของบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ A- เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 และได้เสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 -2 กรกฎาคม 2563 ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 3 รายประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารยูโอบี สำหรับทิศทางธุรกิจในครึ่งหลังปี 2563 ทางดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจใน 4 กลุ่มธุรกิจหลักของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโลจิสติกส์ที่สดใสตามการเติบโตของธุรกิจ E-Commerce และ Consumer ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเตรียมจ่อขายที่ดินภายหลังการคลี่คลายของสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงการเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 12 ซึ่งเป็นโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 10 บนพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับการลงทุนทั้งจากลุ่มลูกค้าในประเทศ และต่างประเทศอาทิ จีน ญี่ปุ่น ที่ทยอยกลับมาลงทุนอีกครั้งหลังที่การผ่อนคลายให้มีการเดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อภาคการลงทุน ทั้งนี้บริษัทคาดว่าในเร็วๆนี้จะเริ่มเห็นความชัดเจนการเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินอีกครั้ง และเชื่อว่าภาพรวมยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม สามารถกลับมาเติบโตตามแผนในครึ่งหลังของปีนี้ สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคคาดว่ามีการเติบโตจากการจำหน่ายน้ำมากกว่าครึ่งปีแรกภายหลังจากปัญหาภัยแล้งเริ่มคลี่คลาย รวมถึงการเพิ่มขึ้นของยอดขายน้ำแก่ลูกค้ารายใหม่ ตลอดจนการเร่งการลงทุนในโครงการ Reclaimed Water สำหรับการให้บริการน้ำที่มีคุณภาพสูงในช่วงครึ่งปีหลัง และในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า กำลังการผลิตรวมแตะ 590 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันซึ่งมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 569 เมกะวัตต์ สำหรับธุรกิจดิจิทัล จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสนใจในดิจิทัลเพิ่มขึ้น เป็นอานิสงส์ให้บริษัทได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทได้มีการลงนามในสัญญาการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ในการให้บริการเช่าพื้นที่วางเครื่องเซิร์ฟเวอร์จำนวน 109 ตู้ ตลอดจนบริษัทได้รับใบอนุญาตจาก กสทช.ในการทดสอบระบบ 5G ร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายชั้นนำของประเทศภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทเตรียมแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) มูลค่าไม่เกิน 3,234 ล้านบาท และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (กองทรัสต์ HREIT) มูลค่าไม่เกิน 1,357 ล้านบาท ณ ไตรมาส 1 ปี 2563 กองทรัสต์ WHART และกองทรัสต์ HREIT มีอัตราการเช่าที่ 91.9% และ 95.3% ตามลำดับ โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4/2563 ซึ่งเป็นไปตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้