"มาดามเดียร์" มั่นใจ "พปชร." เฟ้นหาทีมเศรษฐกิจที่เหมาะสม พร้อมขอคนมีประสบการณ์ระดับประเทศ-ท้องถิ่น หวังสร้างเชื่อมั่นให้ปชช. "วรวัจน์"หนุนโพลปรับครม.เศรษฐกิจ ชี้ 5-6 ปี อุ้มทุนใหญ่ ระดับกลาง-ล่างวิกฤตหนัก แบกหนี้ ไม่มีทุน "เรืองไกร" รับคำท้า "ไพบูลย์" ร้องยุบ พปชร.ปมใช้มูลนิธิเชิญ "บิ๊กป้อม" นั่งหน.พรรค ส่วน"ทิพานัน" ตอกกลับ"อนุสรณ์" ให้ข้อมูลบิดเบือนดูถูกปชช. ปมเลือกตั้งซ่อมลำปาง ชี้ชนะเพราะ ปชช.มั่นใจ"ลุงป้อม" ด้าน"เทพไท" แนะแก้ รธน.60ก่อนยุบสภาจัดเลือกตั้งใหม่ หวังพลิกโฉมการเมืองไทยที่เป็นธรรม เมื่อวันที่ 6ก.ค.63 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการเสนอให้มีการยุบสภาว่า ส่วนตัวเป็นนักการเมืองที่ไม่เคยกลัวการยุบสภา ไม่เคยกลัวการเลือกตั้ง เพราะเป็นเรื่องปกติ แต่การยุบสภาก็ยังดีกว่าการรัฐประหาร เพราะสามารถเลือกตั้งเข้ามาใหม่ได้อีก แต่การรัฐประหารไม่มีการเลือกตั้ง มีแต่การสืบทอดอำนาจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด "ถ้าจะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ปี 60 ก็ยังไม่เห็นผลดี หรือความเปลี่ยนแปลงใดๆ ทางการเมืองไปจากเดิม แต่หากต้องการให้การเมืองเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น และพลิกโฉมการเมืองใหม่ภายใต้กติกาที่เป็นธรรม ก็ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 ก่อน โดยเฉพาะการแก้ไขใน2ประเด็นสำคัญ คือระบบการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาล ผมก็พร้อมสนับสนุนให้มีการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ในทันที" ส่วน นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล กรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผลสำรวจความคิดเห็น ของประชาชนที่ต้องการเห็นการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าถึงเวลาที่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการทำงานของคณะรัฐมนตรี เพราะคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจยังไม่เข้าใจปัญหาทางเศรษฐกิจที่แท้จริง จากการทำงานตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา จะมองเฉพาะมิติของเศรษฐกิจมหภาค ละเลยการดูแลในกลุ่ม 'Real Sector' เมื่อการเติบโตไปเพิ่มที่เอกชนรายใหญ่จึงเสมือนว่าเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าได้ แต่ในความเป็นจริงผู้ประกอบการระดับกลางจนถึงระดับล่าง เกิดวิกฤตอย่างหนักไม่มีเงินทุนเหลือ และถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตส่งออกและการท่องเที่ยวติดลบทั้งสิ้น ทำให้ประชาชนระดับกลางถึงล่างมีภาระหนี้สิน นายวรวัจน์ กล่าวว่า ขณะที่การดูแลพี่น้องประชาชน รวมถึงการออกมาตรการผ่อนคลายต่างๆ ไม่สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เกิดความยากลำบากได้จริง ทำแบบเพียงฉาบฉวยเท่านั้น จะเห็นได้ว่าโครงการส่วนใหญ่ ที่จะนำเงินจากการกู้ยืม ตามพ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับมาใช้ ล้วนแต่เป็นโครงการเก่า ที่เกิดก่อนจะมีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิค-19 ไม่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ยังคงมองเรื่องการท่องเที่ยวชุมชน และเศรษฐกิจฐานราก แต่ไม่มองเรื่องการส่งเสริมการตลาด ไม่มองเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งApplication ของต่างชาติได้เข้ามาครอบงำระบบเศรษฐกิจไทย หรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามาครอบงำผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม โดยที่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง "ทำให้เกิดการชะงักงันทางเศรษฐกิจ รวมถึงการส่งออกที่ไม่สามารถเดินหน้าได้แต่รัฐบาลไม่ได้มียุทธศาสตร์ในเรื่องเหล่านี้ และไม่เห็นท่าทีว่าจะหยิบยกเรื่องเหล่านี้มาพูดคุยอย่างจริงจัง เห็นได้จากการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งล้วนแต่เป็นรูปแบบเก่าที่ต่อเนื่องมาจากปี 2562" ด้าน น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวถึงผลสำรวจของประชา ชนที่ไม่สนับสนุนให้ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ว่า เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคพปชร. ได้มีการคัดเลือกคณะกรรมการพรรคบริหารพรรคชุดใหม่ และตนเชื่อว่าหลังจากนี้จะได้มีการกำหนดตัวบุคคลที่เหมาะสมที่จะมาเป็นตัวแทนของพรรคในการทำงาน และคงเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิก และหลังจากนี้ก็ต้องรอดูว่าผลจะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามคนที่จะมารับตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะต้องประกอบไปด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ และที่สำคัญที่สุดคือ ประสบการณ์ในการทำงาน ไม่ว่าจะระดับประเทศหรือระดับท้องถิ่น และ ต้องสื่อสารสร้างความเชื่อมั่นไปยังต่างประเทศได้ และจะต้องเป็นบุคคลที่สร้างศรัทธา ให้กับประชาชน เพราะต้องบอกว่าวันนี้เรื่องปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี กล่าวถึงกรณีที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาพาดให้สัมภาษณ์พาดพิงพรรคพลังประชารัฐทั้งกรณีผลสำรวจของซูเปอร์โพล การชนะเลือกตั้งที่ จ.สมุทรปราการและข้อมูลทุจริตเลือกตั้งที่ จ.ลำปางว่า อาจเข้าข่ายเป็นการแสดงความคิดเห็นที่กำลังดูถูกเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งประจำเขตเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ในจ.ลำปาง ที่ได้ลงคะแนนเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมา ตัวแทนผู้สมัคร ส.ส. พรรคพลังประชารัฐมีผลงานเป็นที่ประจักษ์จนทำให้ประชาชนในพื้นที่ไว้วางใจ มีการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้รับเลือกตั้งในเดือน มี.ค.62 ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่สมุทรปราการ นายอนุสรณ์ก็พูดจากความเห็นและข้อมูลที่อาจบิดเบือน ถิอเป็นการดูถูกเสียงของประชาชนที่มาลงคะแนน "ในทางกลับกัน ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ลำปาง สะท้อนคะแนนนิยมของพรรคพลังประชารัฐ ในยุคที่มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค ว่า ประชาชนมีความพอใจ และมั่นใจในพรรคพลังประชารัฐ เราจึงไม่หวั่นไหวต่อกระแสใดๆ เพราะมีผลงานเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่าจะสามารถมีชัยชนะในการเลือกตั้งส.ส.สมุทรปราการอีก" น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า สำหรับผลโพลล์ของซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เมื่อวันที่ 5 ก.ค. นั้น เป็นการสำรวจความคิดเห็นจากตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ไม่ได้เป็นการสำรวจความคิดเห็นของตัวอย่างประชาชนในเขตพื้นที่ดังกล่าว ดังนั้นจึงน่าแปลกใจว่าเหตุใดนายอนุสรณ์ถึงเอามาโยงกันกับผลการเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ได้ น่าสงสัยว่านายอนุสรณ์ที่เป็น ส.ส. มานานอ่านและตีความผลโพลล์ไม่เป็นหรือรับไม่ได้ที่ที่ผ่านมาตัวแทนพรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้งซ่อมมาโดยตลอดจึงบิดเบือนผลโพลล์ออกมาทำนอง"ขี้แพ้ชวนตี" แบบนี้ จากผลการเลือกตั้งซ่อมในเขตต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยสอบตก และผลโพลล์ที่แสดงถึงจำนวนลดลงของประชาชนที่จะเลือก ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยนั้น น่าจะสะท้อนให้นายอนุสรณ์เห็นความจริงว่า "ทั้งความจริงและทั้งโพลล์" พรรคเพื่อไทยสอบตกทั้งสองทาง ซึ่งหากกรณีเป็นเช่นนี้ แทนที่นายอนุสรณ์จะใช้เวลาวิพากษ์วิจารณ์พรรคพลังประชารัฐ ควรใช้เวลาลงพื้นที่ที่ตนเองสอบตกบ้าง เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่และควรเสนอแนวทาง สะท้อนให้พรรคเพื่อไทยเห็นว่าควรจะดำเนินการแก้ไขคะแนนนิยมที่ตกต่ำลงทั้งทางโพลล์และทางความเป็นจริงอย่างไร น.ส.ทิพานัน กล่าว "ที่ผ่านมาส.ส.และอดีตผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐลงพื้นที่ทำงานกับประชาชนมาโดยตลอด ดำเนินการดูแลทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนจนได้รับความไว้วางใจและได้รับกำลังใจที่ดีจากพี่น้องประชาชน ซึ่งเมื่อผลโพลล์ดังกล่าวแสดงจำนวนลดลงของประชาชนที่จะเลือก ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐที่จะเลือกในปัจจุบันนั้น ทางพรรคพลังประชารัฐก็จะเร่งประชาสัมพันธ์ สื่อสารให้ประชาชนในภาพรวมเข้าถึงและเข้าใจผลงาน การดำเนินงาน และนโยบายของพรรค เพื่อให้สอดคล้องกับเสียงสะท้อนของประชาชนในพื้นที่จริงๆ เพราะยังมีผู้ตอบแบบสอบถามอีกเป็นจำนวนมากหรือร้อยละ 41.2 ที่ระบุอื่นๆ คือไม่ได้ตัดสินใจพรรคใดพรรคหนึ่ง" วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่ปรากฏภาพกรรมการบริหารพรรค พปชร.หลายคนไปเทียบเชิญ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้มาเป็นหัวหน้าพรรค พปชร. โดยใช้สถานที่คือ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัดนั้น กรณีดังกล่าว นายไพบูลย์ นิติตะวัน กรรมการบริหารพรรค ยอมรับและให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ว่า มีการไปใช้สถานที่ของมูลนิธิดังกล่าวจริง ซึ่งสอดคล้องกับภาพที่ปรากฏตามสื่อซึ่งเป็นภาพของพล.อ.ประวิตรที่จับมือกับกรรมการบริหารพรรคหลายคนที่มูลนิธิดังกล่าว อย่างชัดเจน นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า เมื่อนายไพบูลย์ท้าให้ฟ้องก็ต้องมีการตรวจสอบตามมา และเมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว กรณีดังกล่าว อาจเข้าข่ายผิดพรป.พรรคการเมือง ซึ่งเป็นหน้าที่และอำนาจของกกต. จะต้องดำเนินการต่อไปโดยเร็ว เพราะหากมีการฝ่าฝืน พรป.พรรคการเมือง ก็อาจมีโทษถึงยุบพรรคและตัดสิทธิการเมืองด้วย ตนได้ใช้เวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายไปพอสมควร จนพบเห็นช่องทางที่จะร้องต่อ กกต. เพื่อให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า จะมีเหตุต้องยุบพรรค พปชร. และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการพรรค หรือไม่ ดังนั้น ในวันที่ 9 ก.ค. นี้ เวลา 11.00 น. จะไปยื่นหนังสือด้วยตนเอง ที่ศูนย์ราชการ ถ. แจ้งวัฒนะ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ผบ.ทบ. สหรัฐอเมริกาและคณะจะเดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 9-10 ก.ค. ในฐานะแขกของกองทัพบก หลังได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าราชอาณาจักรไทยตามข้อตกลงพิเศษ หรือ Special Arrangement ในฐานะแขกทางการ ที่เข้าเงื่อนไขไม่ต้องกักตัว 14 วันว่า รัฐบาลไทยจะเอาอะไรกันระหว่างป้องกันโควิด-19 กับความเกรงใจ และปล่อยให้โควิด-19 เข้ามาในประเทศ ทั้งนี้ต้องอย่าลืมว่าโควิด-19 ไม่ได้เลือกฐานะไม่ได้เลือกสถานภาพ เป็นใครก็สามารถติดเชื้อโควิด-19 ได้ ดังนั้น ต้องถามว่ารัฐบาลจะแยกแยะอย่างไรว่าถ้าผู้นำหรือตัวแทนของประเทศสำคัญ โควิด-19 จะยกเว้นให้ ซึ่งรัฐบาลไทยต้องคิดให้หนัก และที่ผ่านมารัฐบาลพูดตลอดว่าเคร่งครัดในการป้องกันโควิด-19 แต่เมื่อมีสถานการณ์เช่นนี้จะยอมเอาชีวิตคนไทยเสี่ยงกับคนคนเดียวหรือความเกรงใจของมหามิตร ซึ่งจะคุ้มหรือไม่นั้นรัฐบาลจะต้องไปคิดเองอย่างไรก็ตามหากมีการเดินทางเข้ามา รัฐบาลจะต้องปฏิบัติให้เป็นสากล เป็นที่ยอมรับว่ามีการป้องกันโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ตนมองว่าเมื่อเจอเหตุการณ์นี้อาจจะมีการปรับมาตรฐานประเทศไทยลง ด้าน นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาทำมาตลอด แต่ในปีนี้ตนอยากให้งดก่อน เพราะหากมาแล้วไม่เข้าสเตทคอ แรนทีนก็จะเป็นปัญหาเพราะขณะนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ซึ่งตนไม่เห็นด้วยที่จะให้มา แต่หากจำเป็นต้องมาแล้วมีการกักตัว 14 วัน มองว่าเขาคงทำไม่ไหว ดังนั้นควรจะงดการเยือนในครั้งนี้ก่อน เมื่อถามว่า ศบค.มีการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อรับมือเรื่องกล่าวนี้แล้ว เช่น นายสมคิด กล่าวว่า ศบค. อย่ามีข้อยกเว้นถ้าจะยกเว้นก็ต้องยกเว้นทุกเรื่อง หรือต้องยกเว้นทั้งหมด อย่าทำตัวลักษณะคนไทยทำอย่างกับต่างชาติทำอีกอย่าง ซึ่งจะเสียมาตรฐานการทำงานของศบค. ซึ่งที่ผ่านมาตนเชื่อว่าทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่หากทำงานตามผู้มีอำนาจ ตามการเมืองก็ควรยุบทิ้ง เพราะในเมื่อที่ผ่านมาไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยก็ควรจะต้องมีการยกเลิก และทุกวันนี้พิสูจน์ชัดตลอดว่าคนที่ติดโควิด-19 นั้น ล้วนมาจากต่างประเทศ ดังนั้นศบค.จะมั่นใจได้อย่างไร จึงขอย้ำว่าควรจะงดเยือนก่อน ซึ่งคงไม่กระทบความสัมพันธ์ เนื่องจากมีเหตุมีผลเรื่องการระบาดของโควิด-19