เมื่อวันที่ 2 ก.ค. นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษามูลนิธิธรรมาภิบาลทางการแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า การที่ประเทศไทยไม่มีรายงานผู้ป่วยโรคโควิด-19 ภายในประเทศ หรือเป็น 0 ต่อเนื่องมา 1 เดือนกว่าๆ ไม่ได้แปลว่าประเทศไทยไม่มีเชื้อโควิด-19 อีกแล้ว เนื่องจากอาจจะมีคนไข้ที่ไม่มีอาการ หรืออาการน้อยเหมือนไข้หวัดแล้วหายเอง แต่ยังแพร่เชื้อได้ ที่สำคัญในระดับโลกแนวโน้มก็ยังเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาสมดุลสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม อย่างไรก็ต้องเปิดประเทศ มีการค้าขายและฟื้นฟูเศรษฐกิจ แม้เราจะมีมาตรการป้องกันเข้มข้น แต่เชื่อว่าจะมีหลุดบ้างแน่นอน "การเดินทางโดยเครื่องบินเราไม่กลัว เพราะล็อกตัวได้ตั้งแต่แรก ที่น่ากลัวคือการเข้ามาทางบกจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า ลาว กัมพูชา หรือมาเลเซีย การมาตามด่าน แต่แรงงานใต้ดินที่พยายามกลับเข้ามานั้นมีเป็นแสนๆ ราย ที่อาจจะเข้ามาทางอื่นนอกจากด่าน ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านที่รายงานผู้ป่วยก็เชื่อว่ายังต่ำกว่าความเป็นจริง ดังนั้นเรายังต้องปฏิบัติตัวตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มข้น เพราะเรามีบทเรียนมาแล้วว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนเมื่อปี 1918 ระลอก 2 นั้นแรงกว่าระลอกแรกมาก ช่วงแรกคนเสียชีวิต 5 ล้านกว่าคน แต่พอผ่อนคลายระลอก 2 เสียชีวิตถึง 40 ล้านกว่าคน” นพ.อุดมกล่าว อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าไม่มีทางที่จะทำให้ผู้ติดเชื้อในประเทศเป็น 0 ไปได้ตลอด อาจจะต้องมีการติดบ้าง แต่จะต้องรักษามาตรการสาธารณสุข เพื่อช่วยกันไม่ให้เกิดการระบาดเป็นระลอกใหญ่ หากมีการติดเชื้อก็ให้เรารับมือไหว โดยทรัพยากรที่เรามีทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เตียง เครื่องมือต่างๆ เรารับผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ประมาณ 30-50 คนต่อวัน หากมาเป็นร้อยก็คงรับไม่ไหว และอาจเกิดการเสียชีวิตเหมือนในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังต้องคงมาตรการป้องกันโควิดฯไว้ ไปอีกสักระยะอย่างน้อย 1 ปี ถึง 1 ปีครึ่ง จนกว่าจะมียารักษาที่แท้จริง ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้อยู่ก็ยังไม่ใช่ หรือมีวัคซีนใช้ ซึ่งจากข่าวก็ยังไม่ใช่จะใช้ได้วันพรุ่งนี้ อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 1 ปี สำหรับขณะนี้ผ่อนปรนระยะ 5 มีการเปิดโรงเรียนทั่วประเทศ 3.5 หมื่นกว่าโรง เด็กเกือบ 5 แสนคน การป้องกันโรคนี้เด็กก็ต้องร่วมมือช่วยกันปฏิบัติ แต่เด็กเป็นวัยที่ยังจับกลุ่มกัน และบางคนก็ไม่สะดวกสวมหน้ากาก ตรงนี้ต้องช่วยกันรักษาระยะห่างให้ได้ 1.5-2 เมตร เพราะข้อมูลพบว่าละอองน้ำลายสามารถกระเด็นได้ไกล 1.86 เมตร ถ้าไอกระเด็นได้ไกล 15-18 เมตร และถ้าวิ่งแล้วไอกระเด็นไกล 20 เมตร และแม้กระทรวงศึกษาธิการ จะเตรียมหน้ากากสำหรับเด็กไว้ แต่อาจไม่ทั่วถึง ซึ่งหน้ากากสำหรับเด็กจะแตกต่างจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็ก 6-12 ขวบหรือ ป. 1-6 ต้องการหน้ากากสำหรับเด็กที่เข้ากับหน้าและต้องกระชับ