แม้จะรู้ว่า ตนเอง เป็น “ตำบล กระสุนตก” มาตั้งแต่ไหน แต่ไร แต่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ ก็ไม่มีทางเลือก อื่น นอกจากมุ่งหน้าลงสนามการเมืองแบบเต็มตัว และถาวร ด้วยการรับเป็น หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ด้วยตนเอง แม้จะรู้ดีว่า จะยิ่งทำให้ ตัวเอง ตกเป็นเป้าโจมตี หนักกว่าเดิม และต้องใช้ชีวิตลำบากขึ้น ต้องระวังตัวทุกฝีก้าว แต่เพราะในชีวิตการเมืองของ พล.อ.ประวิตร ก็คงไม่มีอะไรหนักไปกว่า เรื่องนาฬิกาหรู ยืมเพื่อน ที่ไม่ต้องแจ้ง ในบัญชีทรัพย์สิน จน ปปช.ชี้มูลว่า ไม่ผิด เพราะเป็นการยืมใช้คงรูป อีกแล้ว เพราะแค่วันที่ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ไปเชิญ เป็นหัวหน้าพรรค ที่ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ 22 มิ.ย. 2563 พล.อ.ประวิตร ก็โดน ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ร้องเรียนว่า ใช้มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ในทางการเมือง แต่ พล.อ.ประวิตร ชี้แจงว่า ไม่มีปัญหาอะไร เพราะ แค่กลุ่ม ส.ส.เดินทางมาหา และไม่มีประชุมเกี่ยวกับการเมือง ไม่เกี่ยวโยงใดๆ กับการดำเนินงานของมูลนิธิฯ ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ ทำเรื่อง เช่า สถานที่ ที่ตั้ง มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด จาก กระทรวงการคลัง ตั้งแต่เกษียณราชการ เมื่อ 2548 จากที่เดิมเป็นพื้นที่ ส่วนหนึ่ง ของ ร.1รอ. อีกทั้ง ในปี 2551 สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาฯพรรคปชป. เคยมา เชิญ พล.อ.ประวิตร ไปเป็น รมว.กลาโหม ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่นี่เช่นกัน หลังจากที่ พี่น้อง 3 ป. ช่วยกันตั้งรัฐบาลในค่ายทหารขึ้นนั่นเอง เพราะ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ นี้ เป็นเสมือน ที่ทำงาน ของ พล.อ.ประวิตร นอกเหนือจากทำเนียบรัฐบาล เป็นเสมือน เซฟเฮาส์ ที่ไม่ว่า มีอะไร นัดใคร ก็จะที่นี่ แต่ เสมือนว่า พล.อ.ประวิตร นั้น ทหารเสือราชินี อดีตแม่ทัพใหญ่ ต้องเดินหน้า อย่างเดียวเท่านั้น ถอยไม่ได้ในเมื่อ ขึ้นขี่หลังเสือ แล้ว ตั้งแต่ร่วมกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการรัฐประหาร 22 พค. 2557 และ ร่วมเป็น คสช. และเมื่อกระแส พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ พรรคพลังประชารัฐ มาไกลถึงวันนี้ เกินกว่าจะเป็น แค่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมา สืบทอดอำนาจ คสช. แล้วล้มเลิกไป จึงทำให้ พล.อ.ประวิตร เดินนำทัพเข้าสู่แผนที่ 3 ของ พี่น้อง 3 ป. แผนขั้นแรก คือ การรัฐประหาร และ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.เป็นนายกรัฐมนตรี เอง แบบยาวนาน ถึง 5 ปี ไม่รีบปล่อยอำนาจ ไม่รีบเลือกตั้ง ให้เสียของ แบบรัฐประหาร ครั้งก่อน ยื้อเวลา ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ แผนขั้นที่ 2 คือ ตั้ง พรรคพลังประชารัฐ โดยให้ เพื่อนเตรียมทหาร 12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ และนายทหารน้องรักบิ๊กป้อม เป็นมดงาน แล้วให้ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ในรัฐบาล คสช. ช่วยตั้งพรรคให้ เพราะฝ่ายพี่น้อง 3 ป. เปิดตัวไม่ได้ และให้ อุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรค และสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็น เลขาธิการพรรค ฯ ขัดตาทัพไปก่อน แล้วเลือกตั้ง จนได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แม้จะไม่ได้ ส.ส.มากที่สุดก็ตาม และมี 250 ส.ว. ที่หัวหน้า คสช.ตั้งไว้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้มาเป็น นายกฯ ในรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แผนขั้นที่ 3 คือ ให้ พล.อ.ประวิตร เข้าไปยึดพรรคคืน และนั่งเป็น หัวหน้าพรรค พลังประชารัฐ เอง แม้ต้องเจอปฏิกิริยา จากทีมของ สมคิด บ้างก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อเตรียมสร้างพรรคพลังประชารัฐ ให้กลมเกลียว สามัคคี รวมทุกกลุ่มก๊วน ที่มาจากต่างพรรค เพราะ พลังดูดของ คสช. ให้เป็นหนึ่งเดียว วางระบบให้เรียบร้อย รวมทั้งการปรับโครงสร้างพรรคใหม่ ที่ใช้รูปแบบการบริหารจัดการแบบทหาร ด้วยการ ตั้งรองหัวหน้าพรรค ถึง 9 คน เพื่อให้ความสำคัญ กับ กลุ่มต่างๆ และ ปลอบใจ คนที่อาจไม่ได้ เป็น รมต. และเพื่อการแบ่งงานกันทำ ให้ชัดเจน ในด้านต่างๆ แบบทหาร แม้ พล.อ.ประวิตร จะถูกมองว่า เข้ามา เป็นหัวหน้าพรรค ขัดตาทัพ แต่ก็ไม่ใช่แค่ 6 เดือน แต่ จนกว่า จะจัดระเบียบพรรคเรียบร้อย และเท่าที่ สุขภาพ จะเอื้ออำนวย และ มาเตรียม สู้ศึกท้องถิ่น และผู้ว่าฯกทม. จนเมื่อจะถึงการเลือกใหม่ เมื่อนั้น อาจถึงเวลาที่ พล.อ.ประวิตร จะ ถอย และเปิดทางให้ หัวหน้าพรรคตัวจริง มานั่งคุมพรรค ตามแผน ขั้นที่ 4 ก็คือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะมาเป็น หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เอง เพื่อเตรียมนำทัพในการสู้ศึกเลือกตั้ง ครั้งต่อไป ด้วยตนเอง นั่นหมายถึงการเป็น ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 ของพปชร. เพื่อที่จะได้ชื่อว่า เป็น นายกฯคนใน ไม่ใช่นายกฯคนนอก เช่นในปัจจุบัน อีกต่อไป ตั้งเป้าหมายที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น นายกรัฐมนตรี อีกสมัย ต่ออีก 4 ปี แผนขั้นที่ 5 คือการหาตัว ทายาท ที่จะมาดูแลพรรคพลังประชารัฐ ต่อไป และดำรงความมุ่งหมาย ของ คสช. เพราะ ทั้ง พล.อ.ประวิตร ,พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็คงไม่ได้คิดแค่ว่า พรรคพลังประชารัฐ จะอยู่ตราบเท่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังอยู่เท่านั้น เพราะ ฝ่าย 3 ป. ยังต้องชิงอำนาจทางการเมืองไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ อีกฝ่ายหนึ่ง เข้ามาเป็นรัฐบาล หรือ ครองอำนาจ แล้ว ล้าง ทุกอย่างใหม่หมด เพียงแต่ว่า พี่น้อง 3 ป. จะมองใครไว้เป็น ทายาท จะเป็นทหาร หรือนักการเมือง โดยก่อนหน้านี้ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. น้องรักของพล.อ.ประยุทธ์ ก็ถูกจับตามอง โดยเฉพาะ เมื่อ เขาจะเกษียณราชการ ต.ค. 2563 นี้ และเว้นวรรคทางการเมือง2 ปี เมื่อพ้นจากตำแหน่ง ส.ว. แต่ภารกิจของ พล.อ.ประวิตร ไม่ใช่แค่ จัดระเบียบ พปชร. แต่ต้อง มองหาตัว ทายาท ที่จะมาดูแลพรรค ดูแลบ้านเมือง และ มองหานายกฯสำรองในอนาคต ด้วย คาดกันว่า คงจะได้เห็นวี่แววกัน ในอีกไม่นานนี้ เหล่านี้ จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงออกตัวแทนพี่ชาย ว่าพล.อ.ประวิตรไม่ได้อยากจะเป็น หัวหน้าพรรค แต่เพราะมีความจำเป็น เข่นเดียวกัน เพราะพล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เคยปฏิเสธว่าจะไม่เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเองเลย แต่จะบอกว่า ยังไม่เห็นความจำเป็น และยังไม่ได้คิดอะไร นั่นสะท้อนได้ว่า. พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ ปิดประตู ในการเป็นหัวหน้าพรรค เพราะวันหนึ่ง เมื่อจำเป็น ต้องเป็น จะได้ไม่เสียสัตย์ !!