คนข้างวัด / อุทัย บุญเย็น
เดือนนี้ (มิ.ย.63) ที่ดิน 1 ไร่เศษ (1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา) ของวัดสวนแก้ว (ในนามมูลนิธิวัดสวนแก้ว) ของท่านเจ้าคุณพระราชธรรมนิเทศ หรือที่รู้จักกันในนาม “พระพยอม กัลยาโณ” มาแต่ไหนแต่ไร จะตกเป็นของเจ้าของที่ดิน ตามคำสั่งของศาล
ฟังจากข่าวแล้ว น่าตกใจ เหมือนกับว่า เมื่อท่านเจ้าคุณพระพยอมแพ้คดีแล้ว จะไม่มีวัดสวนแก้ว แต่ความจริง ที่ดินที่จะตกแก่เจ้าของที่ดินนั้น มีเนื้อที่เพียงไร่เศษเท่านั้นเอง แต่ความจริง วัดสวนแก้วของท่านเจ้าคุณพระพยอม มีทั้งหมดสองร้อยกว่าไร่(หรือสามร้อยไร่เศษ ไม่แน่ใจ?) ที่ดินไร่เศษที่จะตกแก่เจ้าของที่ดินนี้ เป็นส่วนด้านหน้าของวัด ซื้อเพิ่มในนาม “มูลนิธิวัดสวนแก้วในราคา 10 ล้านบาท (ราคาค่อนข้างแพง เพราะที่ดินอยู่ติดถนน) เข้าใจว่า มูลนิธิวัดสวนแก้วนั้น มีคณะกรรมการมูลนิธิต่างหาก(เท่าที่จำได้ พระสงฆ์เป็นกรรมการมูลนิธิไม่ได้)
ท่านเจ้าคุณพระพยอมเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว แต่เวลาเป็นข่าวเกี่ยวกับที่ดินที่ซื้อเพิ่ม เหมือนว่า ท่านเป็นคนซื้อเอง (ในนามมูลนิธิ) ว่าไปแล้ว ท่านเจ้าคุณพระพยอม ไม่มีอำนาจใดๆทางกฎหมายเลย ท่านจะได้ที่ดินเพิ่มก็ต่อเมื่อมูลนิธิยกที่ดินถวายแก่ท่าน(ในนามเจ้าอาวาส)
เจ้าอาวาสเองจะดำเนินการใดๆ กับที่ดินวัด ก็ต้องอาศัย “ไวยาวัจกร” อีกทีหนึ่ง
ท่านเจ้าคุณพระพยอม เป็นพระภิกษุ จะต้องปฏิบัติตามพระพุทธบัญญัติหรือวินัยสงฆ์ และปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เป็นด้านหลัก
แต่ในทางข่าวหรือในทางสังคม ท่านเจ้าคุณพระพยอม ทำงานรับผิดชอบทั้งมูลนิธิวัดสวนแก้ว ทั้งวัดสวนแก้ว เมื่อเป็นข่าวสู่สาธารณะ ท่านจึงเป็นผู้เสียหายเมื่อมูลนิธิหรือวัดจะต้องสูญเสียที่ดินนั้น
การหาเงิน หรือรวบรวมเงินเพื่อซื้อที่ดิน เป็นหน้าที่ที่ท่านต้องขวนขวายทั้งหมด
แต่ในทางพระวินัย หรือวินัยสงฆ์ และในทางกฎหมายตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ
เนื่องจากท่านเจ้าคุณพระพยอมเป็นพระสงฆ์ที่ “มีต้นทุนสูง” อยู่ ผู้คนจึงเอาใจช่วยท่าน การแพ้คดีของมูลนิธิวัดสวนแก้ว นำความเสียใจมาแก่คนทั้งหลายไม่น้อย
และดูเหมือนมีคนจำนวนหนึ่ง (ในจำนวนนี้ มีนักร้องรวมอยู่ด้วย) เห็นว่า กฎหมายไม่มีความยุติธรรม บางคนเพ่งโทษไปที่กรมที่ดิน ผู้ออกโฉนด บางคนเพ่งโทษไปที่การตัดสินของศาล
แม้แต่ท่านเจ้าคุณพระพยอมเอง ก็พูดว่า ไม่เสียดายที่ดิน แต่ต้องการ “ความเป็นธรรม” มองว่าการที่ผู้รับซื้อที่ดินเป็นฝ่ายผิดนั้น ไม่เป็นการยุติธรรม
แต่ผมเห็นว่า กฎหมายมีความชอบธรรมแล้ว เพียงแต่เลือกที่จะไม่ฟ้องเอาผิดกับบางคนเท่านั้นเอง เพราะถ้าท่านฟ้องและชนะได้เงินหรือได้ที่ดินมา ท่านก็ผิดต่อพระพุทธบัญญัติหรือวินัยสงฆ์อยู่นั่นเอง (ดูในเรื่อง “สิกขาบทที่ 2 แห่งปาราชิก)
สรุปว่า การซื้อที่ดินของท่านเจ้าคุณพระพยอม ถ้าไม่มีเรื่องก็แล้วไป ถ้ามีเรื่องอย่างที่เป็นอยู่ ท่านเจ้าคุณฯก็เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง
เพราะท่านจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย (โดยเคร่งครัด) และต้องปฏิบัติตามพระวินัยของพระพุทธเจ้าด้วย
ปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด คือ ต้องฟ้องได้ทุกคนที่ทำให้ท่าน(หรือมูลนิธิ)เสียหาย แต่ท่านเลือกที่จะไม่ฟ้องบางคนเอง กฎหมายก็เลยทำหน้าที่ตัวเองไม่ได้ตามกระบวนการยุติธรรมที่มี
ผมเห็นว่า ท่านเจ้าคุณฯ ทำถูกแล้ว ที่ยอมเสียที่ดินผืนนั้นไป
เพียงแต่ว่าท่านก็คง “เสีย” ไปด้วย ที่ไม่รักษาเงินของมูลนิธิหรือของวัดให้ดี
และเจ้าของที่ดินก็คงเสียหายหรือเป็นที่เสียความรู้สึกไม่น้อย ที่ปล่อยให้ที่ดินของตนหลงหูหลงตาอยู่นานไปหน่อย จนกระทั่งแม้แต่ท่านเจ้าคุณฯซื้อที่ดินแล้วและแผ้วถาง ถมที่ ทำความรกเรื้อของที่ให้สวยงามถึงสองปีเศษ เจ้าของที่ดินก็ยังทำเป็นไม่เห็น รอจนที่มีราคาแพงถึง 70-80 ล้านบาท/ไร่ จึงมาทวงเอาที่ดิน
ปล่อยให้เขาแต่งเพลง “พระยอม แต่เณรไม่ยอม” และร้องจนดังไปทั่วประเทศ ก็ยังทำเป็นไม่รู้ตัว
คงจะมีคนเสียความรู้สึกอยู่ไม่น้อย
มีท่านผู้หวังดี ที่เข้ามาเสนอทางออกให้ท่านเจ้าคุณฯ ถือโฉนดที่ซื้อไว้กับตัว โดยหวังว่าเจ้าของที่ดินจะเอาเงินมาถวายคืน 10 ล้านบาท เพื่อจะได้ที่ดินผืนนั้น ก็ดูแยบยลดี แต่ผมเห็นว่า เป็นการเอาแพ้เอาชนะกันอยู่ อยากจะให้ท่านเจ้าคุณฯ ตั้งใจสละที่ดินผืนนั้นให้แก่เจ้าของเขาไป โดยไม่ติดใจที่จะเอาเงินคืน 10 ล้านบาทนั้น น่าจะเป็นการเหมาะสมกว่า คิดเสียว่า เจ้าของที่ดินเขายังมีเยื้อใยกับที่ดินผืนนั้นอยู่ ถ้าพระภิกษุได้มา ก็จะเท่ากับแย่งเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้นั่นเอง จะเป็นอาบัติแก่ท่านเจ้าคุณฯจนได้ เรื่องนี้ท่านเจ้าคุณฯ ซึ่งเป็นพระภิกษุจะรู้แก่ใจดีกว่าท่านผู้หวังดีคนนั้นอย่างแน่นอน
ไหนๆก็เทศน์สอนคนมาทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว อยากให้ท่านเจ้าคุณฯ เทศน์เรื่องนี้ด้วยการลงมือทำให้เขาเห็น จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเป็นอย่างยิ่งครับ
ถึงอย่างไร ท่านเจ้าคุณฯก็ได้บำเพ็ญประโยชน์สร้างวัด สร้างงานให้แก่คนยากคนจนมามากมายแล้ว อยากให้สร้างประโยชน์แก่เจ้าของที่ดินรายนี้ลองดู เชื่อว่าเขาคงคิดได้ไม่มากก็น้อย ใครๆได้ทราบข่าวก็จะอนุโมทนาไปทั่ว
แต่ถ้ายังคิดว่าการได้เงินคืน 10 ล้านบาทนั้น เป็นความชอบธรรม ก็จะได้แต่เงินและได้การไม่เสียเปรียบ แต่ก็จะคาใจท่านเจ้าคุณฯอยู่ลึกๆ ไม่ปลอดโปร่ง ไม่ได้ปฏิบัติธรรมที่ทำได้ยากมิใช่หรือ
จึงเห็นว่า การที่ท่านเจ้าคุณพระพยอมไม่ฟ้องเอา แม้เอาชนะญาติโยม เป็นการชอบธรรมแล้วตั้งแต่ท่านทำมาตั้งแต่ต้น คือท่านเจ้าคุณฯ มีความรอบคอบในการซื้อที่ดินทุกขั้นตอน ตั้งแต่ไปขอทราบข้อมูลเกี่ยวกับที่ดินที่กรมที่ดิน จนแน่ใจว่าที่ดินนั้นมีโฉนดถูกต้องทุกประการ
อยากให้ท่านเจ้าคุณพระพยอมเทศน์ให้ญาติโยมเข้าใจตรงกันว่า ศาลสถิตยุติธรรมทำถูกแล้ว เพราะเขาทำตามหลักฐานทุกอย่างเพื่อตัดสินก็ตัดสินตามหลักฐานที่ปรากฏ
ดูไปแล้ว ไม่มีการกระทำที่ไม่ชอบธรรมเลย ส่วนการที่ท่านเจ้าคุณฯไม่ฟ้องคนที่ควรถูกฟ้อง ก็เพราะเกรงว่าเขาจะลำบากและเป็นการรักษาตัวเองของท่านเจ้าคุณฯ ไม่ใช่เป็นอาบัติมากกว่า
ผมเห็นว่าวิธีการของพระพุทธเจ้าเป็นวิธีที่รักษาศรัทธาของท่านฝ่ายไว้ได้ ไม่มุ่งให้พระภิกษุได้เปรียบหรือเอาแพ้เอาชนะกับชาวบ้าน อยากให้ท่านเจ้าคุณฯถือโอกาสนี้เทศน์เรื่องความยุติธรรมให้ชาวบ้านปฏิบัติอย่างที่ท่านทำ
คือมีความรอบคอบในการซื้อที่ดินที่มีเจ้าของ ซึ่งแม้จะมีความรอบคอบอย่างดีแล้ว ก็อาจมีความผิดพลาดได้ในกระบวนการยุติธรรม ทำให้ดูเหมือนว่ากรมที่ดินออกโฉนดผิดทั้งๆที่กรมที่ดินก็ออกโฉนดตามหลักฐานของ “ปรปักษ์”และศาลสถิตยุติธรรมก็ตัดสินตามหลักฐานทุกประการ แต่อย่าลืมว่าเจ้าของที่ดินเขายังมีอาลัย(อยากเป็นเจ้าของที่ดินนั้นอยู่) พระภิกษุควรจะเป็นฝ่ายเสียสละให้เขาเป็นฝ่ายได้ จึงจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระพุทธเจ้ามิใช่หรือ
อยากให้ท่านเจ้าคุณพระพยอม “ยอม” ให้ชาวบ้านเป็นฝ่ายได้ครองที่ดินที่เขาต้องการ และแสดงธรรมเรื่องความยุติธรรมของฝ่ายบ้านเมืองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่าให้ชาวบ้านมองด้วยความแคลงใจในความยุติธรรม ด้วยการได้เปรียบทางสังคม ซึ่งท่านเจ้าคุณฯได้มากแล้ว
ผมมีความเห็นว่า มีหลายอย่างที่วงการพุทธศาสนาวิ่งเลยคำสอนของพระพุทธเจ้าไป แม้แต่เรื่องบวชเป็นพระภิกษุที่พระสงฆ์(ไทย) ทำให้เป็นประเพณีมากกว่าเป็นความจริง มีการบวชซึ่งไม่กี่วันไม่กี่เดือน แล้วมีการขยายความคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นไปตามประเพณีที่พระสงฆ์(ไทย)กำหนดขึ้น ก็เลยมีเรื่องยุ่งๆอยู่
มีความรู้สึกว่า คำสั่งสอน(พระธรรมวินัย)ของพระพุทธเจ้ากำลังไหลไปตามความต้องการของชาวโลกมากขึ้นทุกวัน แม้แต่เรื่อง “ที่ดิน” ของวัด ก็ทำท่าจะยึดความยุติธรรมของทางโลกเป็นด้านหลัก แทนที่จะให้วัดเป็นผู้อาศัยชาวโลกเป็นอยู่
ก็เลยมานึกว่า การออกแบบพระธรรมวินัยแต่สมัยดั้งเดิม(ไม่ว่าศาสนาใดๆ) เป็นการชอบแล้วคือให้นักบวชเป็นผู้เสียสละในทางโลกให้ได้ เพราะในที่สุด ชาวโลกจะเป็นผู้ยึดครองโลกเพื่อให้โลกอยู่ได้
แต่ทุกวันนี้ ฝ่ายศาสนาทำท่าว่าจะเป็นฝ่ายยึดครองโลกเสียเอง เพราะฝ่ายศาสนาได้เปรียบในทางสังคม สามารถที่จะขยายกิจการให้กว้างไกลออกไปได้มากกว่า ด้วยประเพณีบ้าง ด้วยกฎหมายบ้าง หรือแม้แต่ด้วยความสามารถเฉพาะตัวของนักบวชเอง
อย่างที่ท่านเจ้าคุณพระพยอม เป็นอยู่นั่นแหละ
แล้ววันหนึ่ง ความยุติธรรมหรือความเป็นธรรมก็จะเปลี่ยนรูปไปทีละน้อย
ทั้งหมดนี้ เขียนขึ้นเพื่อให้ท่านเจ้าคุณพระพยอม กลับเข้าวัดดังเดิม อยากให้ท่านเทศน์สอนชาวโลกอย่างที่เคยสอน แทนที่จะเหนื่อยกับชาวโลกอย่างที่เป็นอยู่