ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย ความปกติแบบใหม่ หรือ New Normal นับเป็นคำที่ฮิตมากในช่วงนี้ ทั้งๆที่หลายๆคนก็ยังงงๆกันอยู่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆคำนี้เป็นการคาดคะเนสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังวิกฤตกาลโควิด-19 ซึ่งคาดกันว่าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ให้ผิดไปจากเดิม ปัญหาคือว่าไอ้ที่คาดกันว่าจะเป็นพฤติกรรมโดยปกติของมนุษย์ในยุคใหม่นี้ มันเป็นพฤติกรรมโดยปกติหรือผิดปกติ (Abnormal) กันแน่ เอาเรื่องหน้ากากก่อนว่าตกลงไอ้ความปกติแบบใหม่นี่ หมายความว่าเราจะต้องใส่หน้ากากกันตลอดเวลาที่ออกจากบ้านใช่หรือไม่ ถ้าใช่เวลาเข้าธนาคาร หรือไปร้านทองยังต้องใส่หรือไม่ ถ้าใช่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำอย่างนี้อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาชญากรรมนี้เกิดจากความปกติแบบใหม่หรือไม่ เรื่องการสร้างระยะห่างทางสังคม ยืนเดินนั่งนอนต้องเว้นระยะอย่างน้อย 1-2 เมตรหรือไม่ และมันเป็นความปกติแบบใหม่ใช่ไหม และจะทำอีกนานแค่ไหน ถ้าบอกว่าต้องรอวัคซีนก็คงไม่น้อยกว่าปี ดังนั้นการนั่งรถเมล์ รถตู้ รถไฟฟ้า BTS รถใต้ดิน ต้องนั่งเว้นที่แต่ไปยืนอัดกันในรถไม่เป็นไร อย่างนี้คือความปกติแบบใหม่หรือไม่ การให้อยู่บ้านห้ามไปไหนคงไม่ใช่นิวนอมอลแล้ว เพราะตรงนี้คงจะผ่อนคลายไปแล้ว แต่เวลาไปห้าง ไปร้านอาหาร ไปเที่ยว ยังคงต้องลงทะเบียน ยิงคิวอาร์โค้ด ตรวจไข้ลงทะเบียนเข้าออก อีกนานแค่ไหนและถือเป็นความปกติแบบใหม่หรือไม่ ทั้งๆที่เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศเกือบเดือนแล้ว แต่มันเป็นภาระทางต้นทุนของธุรกิจ ส่วนการติดเชื้อนั้นมาจากต่างประเทศ แต่เราก็มีแผนจะรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจากต่างประเทศแล้วในเร็วๆนี้ โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน แต่ต้องมีใบรับรองว่าปลอดเชื้อ เป็นความปกติยุคใหม่อีกนานเท่าไร การแจกเงินประชาชนเพื่อช่วยการดำรงชีพเพราะนโยบายและผลกระทบจากโควิด-19 หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวระยะนานเป็นปี การแจกเงินจะถือว่าเป็นนิวนอมอลหรือไม่ และจะแจกต่อไปจนเศรษฐกิจฟื้นหรือไม่ เพราะถือเป็นเรื่องปกติแบบใหม่อย่างนั้นหรือ ด้านเศรษฐกิจที่เคยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งออก แต่ตอนนี้พึ่งไม่ได้แล้ว และยังไม่รู้ว่าจะหาวิธีหาเงินเพื่อสร้าง GDP ให้สูงขึ้นอย่างไร ถือเป็นความปกติแบบใหม่หรือไม่ ด้านการศึกษาต้องหันไปเรียนออนไลน์หรือทางไกลทั้งๆที่ยังไม่พร้อมถือเป็นความปกติแบบใหม่หรือไม่ หรือเรียนวันเว้นวันสลับกันเพื่อให้มีพื้นที่ว่าง แน่นอนรัฐบาลทั้งหลายทั้งปวงในโลกต่างก็มีการออกมาตรการกันหลากหลาย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรคโควิด-19 แล้วก็มีการทึกทักกันว่า มันจะเป็นความปกติแบบใหม่ แต่ผู้เขียนมองว่ามันเป็นความผิดปกติ (Abnormal) แบบใหม่มากกว่า เพราะเมื่อโรคระบาดหายไป ชีวิตก็ต้องเป็นปกติไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ที่สำคัญการประวิงเวลาหรือการออกมาตรการอะไรที่ไปบังคับวิถีการดำเนินชีวิตปกติของคนในชาติ มันต้องเรียบว่าความผิดปกติแบบใหม่หรือความอุตริวิตถารมากกว่า ลองมาดูความอุตริของบางประเทศที่ถ้าไม่เอาใจไปรับจริงจังกับมันมากก็ถือเป็นเรื่องขำขันได้ ผู้จัดการออนไลน์เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รายงานว่ากรีซได้ตัดสินใจคลายล็อกเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจนอกจากจะเปิดโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแล้ว มันก็มีองค์ประกอบเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและกระทาชายชาวกรีซที่อดอยากปากแห้งมานาน จึงเปิดให้มีบริการทางเพศ โดยตั้งเป้าให้เกิดการสร้างรายได้เข้าประเทศหรือมีการใช้จ่ายภายในเพิ่มขึ้น ซึ่งแน่นอนก็ทำให้คุณโสทั้งหลายที่กำลังจะอดตายได้พลอยมีรายได้ยังชีพได้ด้วย แต่รัฐบาลก็ยังกล้าๆกลัวๆ จึงออกมาตรการมากำกับซึ่งเบื้องต้นก็เป็นมาตรการพื้นฐาน คือลงทะเบียนให้เรียบร้อยเพื่อที่จะสามารถติดตามตัวได้หากเกิดการติดเชื้อโควิด-19 ที่มันต้องเรียกว่าวิตถารคือกำหนดให้ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ในการมีเพศสัมพันธ์ และต้องให้ศรีษะของทั้งสองฝ่ายห่างกันไม่น้อยกว่า 1 เมตร ลองนึกภาพดูแล้วกันว่ามันจะทุลักทะเลแค่ไหน นี่ดีว่ายังไม่ถึงกับกำหนดท่าแบบนิวนอมอลเข้าไปอีก อุตริสิ้นดี ส่วนเมืองไทยก็ไม่น้อยหน้าอนุญาตให้มีบริการนวดได้ แต่กำหนดให้ทำหัตถการกับลูกค้าได้ในระดับต่ำกว่าเอวจนถึงปลายเท้าลองนึกภาพดูครับ ทุลักทุเลไหมครับ ผู้เขียนนึกภาพไม่ออกบอกตรงๆ บางเรื่องก็ขำไม่ออก เช่นการกำหนดให้เด็กเล็กใส่หน้ากากตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน ยกเว้นตอนทานอาหารหรือของว่าง แต่ผลก็คือหน้ากากเหล่านั้นจะไปปิดกั้นระบบหายใจ ที่ทำให้อากาศภายนอกเข้ามาลำบาก เด็กก็ได้รับคาร์บอนไดออกไซด์เป็นจำนวนมาก อย่างนี้เรียกว่าเป็นนิวนอมอลไหม นานแค่ไหน แล้วใครรับผิดชอบกับสุขภาพของเด็กเล็ก ทั้งๆที่งานวิจัยยืนยันว่าโรคโควิด-19 มีโอกาสติดเด็กเกิน 5 ขวบถึง 20 ปีน้อยมาก เหยื่อสำคัญคือคนสูงอายุเกิน 60 ปี และมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หัวใจ ความดัน และโรคทางเดินหายใจ การให้เว้นระยะห่าง (Social Distancing) และปลูกฝังให้กับคนรุ่นใหม่จะสร้างความเหินห่าง ปฏิสัมพันธ์ที่อบอุ่นของมนุษย์อาจจะขาดหายไป เป็นการซ้ำเติมการที่เทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้าจนทำให้คนแยกตัวออกห่างกัน และมีโลกส่วนตัวมากขึ้น นั่นคือ ความปกติแบบใหม่หรือไม่ หรือมันเป็นความผิดปกติที่เราสร้างขึ้นจนทำให้มนุษย์ที่โดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคมใช่หรือไม่ ทั้งนี้การแยกตัวออกจากสังคมด้วยแนวคิดแบบนี้เป็นการตอกย้ำให้มนุษย์มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือเป็นการแสดงออกที่เห็นแก่ส่วนรวมคงต้องดูกันนานๆ เพราะถ้ามันตอกย้ำให้กับอนุชนรุ่นใหม่แยกตัวจากสังคม เพราะถูกปลูกฝังเรื่องการเว้นระยะห่าง การกักตัวอยู่ในบ้าน จนกระทั่งยอมรับกันว่ามันเป็นความปกติแบบใหม่แล้วไซร้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ดังนั้นการออกมาตรการทั้งหลายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต้องไม่ถูกทึกทักว่ามันเป็นความปกติแบบใหม่ แต่ควรเข้าใจว่ามันเป็นความผิดปกติของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น และมาตรการต่างๆที่ออกใช้ก็ต้องใช้อย่างมีสติ นั่นคือรู้จักใช้ปัญญาในการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างถูกกาละเทศะ ไม่ใช่วางเป็นกฎตายตัวและยาวนาน ทำให้นิสัยคนเปลี่ยนไป จนทำลายวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย หรือไปส่งเสริมวัฒนธรรมที่เลวร้ายให้มีพลังโน้มนำสังคม ตัวอย่างอีกอันที่มีผลกระทบในระดับรัฐบาลก็คือการเชื่อว่าต้องมีพ.ร.ก.ภาวะฉุกเฉิน จึงจะแก้ปัญหาได้แบบครอบจักรวาล ทั้งๆที่เราใช้มาตรการทางกฎหมายตามปกติก็สามารถควบคุมสถานการณ์และบริหารประเทสได้ตามปกติ ภาวะฉุกเฉินควรประกาศใช้เมื่อเกิดจลาจลตื่นกลัว ปล้นสะดม แย่งชิงอาหาร และยารักษาโรค อันเกิดจากการตื่นตระหนกของประชาชน หากการเกิดโรคระบาดแต่ไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น การใช้ยาแรง เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ย่อมแสดงว่าเราเป็นรัฐข้าราชการที่ล้มเหลว เพราะระบบราชการไม่อาจเป็นที่พึ่งพาบริหารประเทศได้ แม้ในยามที่เกิดโรคระบาดไวรัส-19 ที่ไม่ได้มีการตื่นตระหนกจนเกิดจลาจลเลย ดีใจที่นายกฯประกาศนิวนอมอลของท่านว่าจะรวมไทยสร้างชาติ หวังว่าคงไม่ใช่แค่วาทกรรม เพราะท่านต้องทำหลายอย่าง เช่น การสร้างความยุติธรรมให้เท่าเทียมกันไม่ใช่เลือกปฏิบัติ จัดการคอร์รัปชั่นให้เด็ดขาดไม่ยกเว้นพวกตนเอง กำจัดอำนาจมืดอิทธิพลเถื่อน การอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง ฟื้นเศรษฐกิจ ลดช่องว่างทางรายได้ และกระจายอำนาจ ฯลฯ ถ้าทำได้รับรองนิวนอมอลของท่านจะเป็นจริง แต่ถ้าไม่ มันก็วังเวงครับ