สิ้นสุดการรอคอยสักที! หลังประเทศอังกฤษได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ พร้อมไฟเขียวให้ฟุตบอล “พรีเมียร์ลีก” ฤดูกาล 2019/20 กลับมาทำศึกลงแข่งขันให้จบ หลังถูกพิษ “ไวรัสมรณะ” โควิด-19 เล่นงานไปทั่วโลก โดยนัดแรกได้เริ่มขึ้นในวันที่ 17 มิถุนายน เป็น 2 เกมตกค้าง ระหว่าง “แอสตัน วิลลา”ที่เปิดรัง “วิลลา ปาร์ค” พบกับ “เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด” ตามด้วยคู่ใหญ่ “แมนฯซิตี้” ปะทะ “อาร์เซน่อล” ในเวลา 02.15 น. แม้การลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้จะใกล้ได้บทสรุปเต็มที หลังจาก “ลิเวอร์พูล” นำโด่งเป็นจ่าฝูงทำแต้มทิ้งห่าง “แมนฯ ซิตี้” รองจ่าฝูงถึง 25 แต้ม ทำให้พวกเขาต้องการเก็บชัยชนะอีกแค่ 2 นัดจาก 9 เกมที่เหลือก็จะเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ลีกอย่างเป็นทางการในรอบ 30 ปีทันที อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลอังกฤษ “ไฟเขียวล็อกดาวน์” ทาง “พรีเมียร์ลีก” ก็ได้ออกกฎเหล็กต่างๆ ในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างการฝึกซ้อม ให้กับบรรดาผู้เล่น และผู้จัดการทีมของทั้ง 20 สโมสร ก่อนที่จะกลับมาซ้อมเป็นกลุ่มอีก ซึ่งข้อปฏิบัติสำคัญ สำหรับการซ้อมเป็นกลุ่มในระยะแรกโดยจะมีผู้สังเกตการณ์อย่างเข้มงวดเพื่อให้ทำตามหลักเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) คือ จำกัดการซ้อมกลุ่มละไม่เกิน 5 คน การซ้อมแต่ละช่วงห้ามใช้เวลาเกิน 75 นาที และในระหว่างซ้อม นักเตะต้องงดการเข้าปะทะกันด้วย ขณะที่อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการฝึกซ้อม เช่น ลูกฟุตบอล ธงเตะมุม เสา-คานประตู กรวย ไม่เว้นแม้กระทั่งหญ้าในสนามต้องได้รับการฆ่าเชื้อ ทั้งก่อนและหลังการซ้อมในแต่ละช่วง ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่น่าสนใจ คือ ทุกคนในทีมต้องตรวจเชื้อโควิด-19 สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก่อนซ้อมในแต่ละวันต้องทำแบบสอบถามเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ และตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ห้ามรวมกลุ่มกันในพื้นที่ส่วนกลาง (ยกเว้นห้องแพทย์และโรงยิม) ห้ามใช้ยานพาหนะร่วมกับผู้อื่น ทั้งการเดินทางมาสนามซ้อม หรือเดินทางกลับบ้าน โดยทุกคนต้องทำความสะอาดรถตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และจะไม่มีการใช้รถหรือยานพาหนะประจำทีม รวมถึงงดการเดินทางโดยรถสาธารณะด้วย นอกจากนี้ ในการแข่งขัน จะอนุญาตให้แต่ละทีมรวมผู้เล่นได้ฝ่ายละ 37 คนเท่านั้น ประกอบไปด้วย นักเตะ 20 คน สตาฟฟ์โค้ชและทีมแพทย์ 12 คน บวกด้วยคนอื่นๆของสโมสรอีก 5 คนเท่านั้น และก่อนที่เกมการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ต้องมีการยืนสงบนิ่ง 1 นาที เพื่อเป็นเกียรติให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ ที่กำลังต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 อยู่ในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างที่กำหนดขึ้นมา เพื่อให้การแข่งขันดำเนินไปได้จนจบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกัน และข้อกำหนดที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าการแข่งขันดำเนินไปแล้วปรากฏว่า มีการระบาดจนควบคุมไม่ได้ ก็จะให้มีการ “ตัดจบ” ทันที นั่นหมายความว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น “ลิเวอร์พูล” จะได้ครองแชมป์พรีเมียร์ลีกทันที และแน่นอนอีกว่า ความสำเร็จในครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับ “เดอะค็อป” เพราะเป็นแชมป์ในรอบ 30 ปีของสโมสร และได้กลับมาเป็นแชมป์รายการใหญ่อีกครั้ง หลังจากห่างหายมาอย่างยาวนาน รวมถึงยังเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ภายใต้การคุมทีมของ “เจอร์เกน คล็อปป์” ยอดผู้จัดการชาวเยอรมันคนนี้อีกด้วย นับตั้งแต่เข้ามาคุมทีมเมื่อปี 2015 ซึ่งเขาทำได้แค่เกือบหลังพาทีมเข้าชิงถึง 3 รายการ (ลีกคัพและยูโรปาลีกในปี 2015-2016 และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2017-2018) เพราะทำได้ดีที่สุดคือการเป็น “รองแชมป์” เท่านั้น