ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “ที่รัก,ผมรักคุณก็เพราะกาแฟขมๆ ในทุกเช้า รอยบุ๋มสะอาดๆ ที่หัวเข่าของคุณ เถ้าจากซิการ์ที่เกลี่ยได้เท่าๆกัน และเสียงบ่นเป็นระยะๆ เวลาที่ผมแตะต้องหมอนใบโปรดของคุณ... ผมรักคุณก็เพราะได้เห็นลูกๆเติบโตเหมือนขั้นบันไดที่ปราศจากเรื่องราว(ผมโชคร้ายที่ไม่ได้เห็นบันไดเหล่านั้น)...ความเจ็บปวดนี้มันเหมือนมีมีดมาทิ่มแทงตรงสีข้าง และที่คอยดุด่าคนเกกมะเหรกคนนี้ เวลานี้คงจะเป็นเวลาที่ต้องร่ำลาจริงๆ เสียที เวลาห้าปีที่วนเวียนอยู่ในห้วงโคลนตมนี้ ทำให้ผมแก่ลง และเวลานี้ก็จะเหลือแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย....” คำรักอันเปี่ยมเต็มไปด้วยความรู้สึกห่วงหาต่อคนรักนี้..เป็นของ “เช เกวารา”...ในความทรงจำของ “อาเลย์ดา มาร์ช” ภรรยาผู้เป็นที่รัก...ที่ปรากฏเป็นตราประทับของหนังสือ “REMEMBERING CHE” ..อันชวนซาบซึ้งยิ่ง 14 มิถุนายน..! หากนับเนื่องถึงปีนี้...ถ้าเชยังมีชีวิตอยู่เขาจะมีอายุได้ 92 ปี/จากการเป็นนักปฏิวัติในลัทธิมากซ์ นายแพทย์ นักเขียน ผู้นำนักรบกองโจร นักการทูต และนักทฤษฎีทางทหารชาวอาร์เจนตินา และอยู่ในสถานะแห่งการเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในการปฏิวัติคิวบา ภาพใบหน้าของเขากลายเป็นสัญลักษณ์ที่พบเห็นกันโดยทั่วไปในวัฒนธรรมการต่อต้านและการกบฏทั่วโลก...และเป็นตราต้นแบบที่รู้จักกันเป็นสากลท่ามกลางวัฒนธรรมสมัยนิยม ครั้งยังเป็นนักศึกษาแพทย์ เชเดินทางไปทั่วทวีปอเมริกาใต้ และรู้สึกสะเทือนใจกับความยากจนข้นแค้น ความหิวโหย และโรคภัยที่เขาพบระหว่างทาง ความปรารถนาทำลายล้างสิ่งที่เขามองเห็นว่า เป็นการขูดรีดของทุนนิยมในละตินอเมริกา ผลักดันให้เขามีส่วนเกี่ยวข้องในการปฏิรูปสังคมของกัวเตมาลาภายใต้รัฐบาลของ ฮาโกโบ กุซมัน..นั่นมีส่วนที่ทำให้อุดมการณ์ทางการเมืองของเช แข็งแกร่งยิ่งขี้น ต่อมาขณะอาศัยอยู่ในกรุงเม็กซิโกซิตี เขาก็ได้พบกับ ราอุล และ ฟิเดล คัสโตร...เขาได้เข้าร่วมกับขบวนการ 26 กรกฎา และออกเดินทางสู่คิวบา ด้วยจุดประสงค์ที่จะขับไล่จอมเผด็จการ ฟุลเคนเซียว บาติสตา ซึ่งสหรัฐอเมริกาหนุนหลังอยู่...ในไม่ช้าเชก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในกองกำลังกบฏดังกล่าว โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการ และมีบทบาทสำคัญยิ่งในกองทัพกองโจร ซึ่งสามารถล้มระบบของบาติสตาได้สำเร็จภายในเวลาสองปี.../ หลังปฏิวัติคิวบา เชมีบทบาทสำคัญหลายอย่างในรัฐบาลใหม่ นับแต่การเข้าร่วมพิจารณาคดีในศาลปฏิวัติ และพิพากษาให้ผู้ต้องโทษอาชญากรสงครามถูกยิงเป้าโดยชุดยิง/ริเริ่มการปฏิรูปที่ดินการเกษตรในฐานะรัฐมนตรีอุตสาหกรรม เป็นหัวหอกในการรณรงค์เพื่อการรู้หนังสือทั่วประเทศซึ่งก็ประสบความสำเร็จ เช..ออกจากคิวบาในปีค.ศ.1965 เพื่อก่อการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในประเทศอื่น โดยเริ่มต้นที่ คองโก-กินซาซา..แต่ไม่ประสบความสำเร็จ...และครั้งต่อมาในโบลิเวีย...ที่นี่เขาถูกกองทัพโบลิเวียซึ่งมีซีไอเอสนับสนุนจับตัว และถูกประหารชีวิต โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม มาถึงวันนี้...เราต่างถือกันว่า..เช เป็นบุคคลทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับทั้งการยกย่องและเกลียดชัง..มุมมองต่างๆเกี่ยวกับตัวเขาได้รับการรวบรวมไว้ในรูปของสื่อเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือชีวประวัติ บันทึกความทรงจำ ความเรียง สารคดี เพลง ภาพยนตร์...ด้วยเหตุแห่งการสละชีวิตตามความเชื่อและศรัทธาของเขา...การปลุกเร้าด้วยบทกวีเพื่อการก่อเกิดสำนึกแห่งการต่อสู้ระหว่างชนชั้น...เป็นนัยสำนึกแห่งการเป็นคนใหม่เพื่อขับเคลื่อนจริยธรรม แทนที่การเป็นไปด้วยค่านิยมทางวัตถุนิยม...เหตุนี้..เชจึงกลายเป็นบุคคลเชิงสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบทางกระบวนการทางการเมืองต่างๆที่นิยมฝ่ายซ้าย/...เช ได้รับเลือกจากนิตยสารไทม์ ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในคริสศตวรรษที่ 20 ..ส่วนภาพถ่ายอันลือเลื่องติดตาของเขาที่มีชื่อว่า”นักรบกองโจรผู้เป็นวีรบุรุษ”(GUERRILLERO HEROICO) และถ่ายโดย อัลเบอร์โต กอร์ด้า...ก็ได้รับการยกย่องจากสถาบันวิทยาลัยศิลปะแมรีแลนด์ว่า..เป็นภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก! “อาเลย์ดา มาร์ช” ..เริ่มต้นความทรงจำสู่ความเป็นที่รักของเธอด้วยวิถีสำนึกอันอ่อนโยนผ่านการเล่าขานแก่เพื่อนร่วมงานนาม “มาริอา เดล การ์เมน อาริเอต” (Maria del Carmen Ariet)...เอาไว้อย่างน่ารับฟังว่า “แม้เวลาล่วงผ่านมานานแล้ว แต่ฉันก็พยายามสร้างศูนย์การเรียนรู้ “เช เกวารา” ขึ้นมา ฉันและเพื่อนๆ ค่อยๆ เริ่มทยอยเก็บเอกสารข้อมูลทีละเล็กทีละน้อย มีทั้งภาพถ่าย จดหมาย บทกลอน และของใช้ส่วนตัวอื่นๆ...จากจุดนั้นเราคิดว่าหนทางยังอีกยาวไกลจนกว่าจะถึงจุดหมาย หรือไม่ก็อย่างน้อยก็ให้ถึงจุดที่เราอยากจะให้เป็น พวกเราเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ตรงนั้นและได้ร้อยเรียงชีวิตและผลงานของเช อย่างประณีตที่สุด..เราปรารถนาให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักเช อยากให้หนุ่มสาวเหล่านั้นได้มีโอกาสใกล้ชิดเขา ไม่เพียงแต่ในเชิงที่เขาเป็นสัญลักษณ์ แต่ในฐานะชายผู้มีความฝันตั้งแต่วัยเยาว์ และในที่สุด ก็สามารถทำฝันนั้นให้เป็นจริง ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นผู้สร้าง” ในขณะที่เธอกำลังก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ เธอไม่ได้มุ่งหวังให้มีการศึกษาเฉพาะความคิด ผลงาน และชีวิตของเชเท่านั้น หากแต่เธอและพรรคพวกอยากทำงานร่วมกับชุมชนเพื่อปลูกฝังให้สังคมนั้นๆ ได้ซึมซับความมีคุณธรรมของเขาไปด้วย ซึ่งก็นับเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเขา ทำให้คนเหล่านั้นได้รู้จักเป้าหมายที่เชต่อสู้มาโดยตลอด นั่นคือโลกที่มีแต่ความยุติธรรม ตอนนั้นเรายังไม่ค่อยตระหนักถึงความจริงที่ว่า...ภารกิจที่เราทำนั้น อาจทำให้ชีวิตของสมาชิกในครอบครัวตกอยู่ในอันตราย ได้ หลายๆครั้ง ฉันลองมานึกทบทวนว่า ต้องโกหกที่บ้านกี่ครั้งจึงจะสามารถออกจากบ้านมาได้ และต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายขนาดไหน เพื่อจะเอาชนะพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจ และรับไม่ได้ว่าทำไมผู้หญิงสาวจะต้องมาเสี่ยงตายกับเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกๆ ที่พวกเขายังไม่แน่ใจว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่...บางครั้งเพื่อนร่วมขบวนการต้องเสี่ยงมาหาฉันที่บ้านบ้าง และฝากข้อความด่วนไว้ให้ เวลาที่มีคนมาหาที่บ้าน เจ้าหลานสาวตัวน้อยของฉันมิเรียม..ก็จะอยากรู้อยากเห็นไปหมด แม้ว่าบางครั้งแม่จะเตือนว่าห้ามบอกฉัน..เธอก็จะมาวนเวียนอยู่รอบๆ เหมือนผีเสื้อ กำลังตอมดอกไม้ และคอยกระซิบเบาๆว่า... มีคนมาหาน้าค่ะ...” โดยบริบท...ประชาชนชาวคิวบาต่างอยากให้ระบอบเผด็จการนั้นสิ้นซากไปเสียที เพราะระบอบนี้ ได้ทำลายคนรุ่นใหม่ ไปจนหมดสิ้น มีการเสนอให้มีการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1958...แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับ การต่อสู้ของฝ่ายกองทัพปฏิวัติ เริ่มต้นเปิดฉากจากบนภูเขาเรื่อยลงมายังพื้นราบ โดยได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังในเมือง เรารู้ว่า หนทางสู่ชัยชนะนั้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม “ตลอดทั้งปีนั้นฉันได้ปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตาย สำเร็จลุล่วงหลายต่อหลายครั้ง เป็นเหตุให้ฉันตกเป็นเป้าหมายของการกวาดล้างของรัฐบาลเผด็จการ ถึงขนาดที่ว่าพวกเขาไปที่บ้านของฉันหลายต่อหลายครั้ง แต่ฉันก็ยังโชคดีที่หลบหนีออกมาได้ จะด้วยความบังเอิญหรือไม่ก็ด้วยความไม่รอบคอบของตำรวจ หรือบางที อาจจะเป็นทั้งสองอย่างก็ได้ แต่เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า เวลาของฉันในฐานะสมาชิกขบวนการใต้ดินใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว..และเรื่องราวของ เช เกวารา ก็เป็นเหมือนตำนานที่คนทั่วประเทศรู้จัก มีคนพูดถึงวีรกรรมของเขา แทบจะทุกวันทางสถานีวิทยุกบฏใต้ดิน สมาชิกของฝ่ายเผด็จการตราหน้าเขาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และติดประกาศจับพร้อมมีรูปของเขา ตามถนนสายสำคัญๆ ในเมืองซันตา กลารา แน่นอนว่ารูปของเชนั้น.. “ห่างไกล” ความจริงที่ฉันได้พิสูจน์ด้วยตาในเวลาต่อมา” หลังจากที่ “อาเลย์ดา” ได้มาร่วมทำงานกับเช..เธอรับหน้าที่ช่วยส่งจดหมายส่วนตัวทุกฉบับของเขา..เธอระบุว่าเธอจำรายละเอียดในเรื่องสำคัญแห่งชีวิตระหว่างเธอกับเขาได้ดีว่า..สักประมาณวันที่ 12 มกราปี ค.ศ.1958 เขาได้เอาจดหมายที่จะส่งไปให้อิลดา ภรรยาเก่าของเขา มาให้เธออ่าน โดยเนื้อความในจดหมาย เชเขียนขอหย่าอย่างเป็นทางการเพราะว่ากำลังจะแต่งงานกับสตรีชาวคิวบาคนหนึ่งที่พบกันระหว่างการสู้รบ “ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นฉันเข้าใจจดหมายฉบับนั้นว่าอย่างไร ฉันยังถามเชเลยว่า สตรีคนนั้นเป็นใคร แล้วเขาก็ตอบว่าคือตัวฉันเอง..ฉันไม่ขอเล่าอะไรมากตอนนี้ก็แล้วกัน..หลังจากนั้นก็ยังมีจดหมายฉบับอื่นๆอีก มีอยู่ฉบับหนึ่งที่เชส่งให้ป้าเบอาตริชของเขา...และต่อมาก็ได้กลายเป็นมุกตลกของเรา ...เป็นเรื่องของคุณป้าที่เชรักมาก ที่ป้าได้วาดภาพคนรักใหม่ของหลานชายคนโปรดตามจินตนาการของป้า...โดยที่ป้าหาว่าฉันเป็น”สาวบ้านป่า”ตามความคิดเหยียดชนชั้น ของสังคมอาร์เจนตินาแบบระบอบคณาธิปไตยในสมัยนั้น.../แต่เมื่อถึงเวลานั้น ทุกอย่างในชีวิตของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว วันหนึ่งในเดือนมกราคม ขณะที่รากำลังเดินทางไปเมืองซัน อันโตนิโอ เด โลส บาโญส (San Antonio De los Banos)เรานั่งกันด้านหลัง แล้วเชก็จับมือของฉันเป็นครั้งแรก ฉันพูดอะไรไม่ออก รู้สึกเหมือนว่าหัวใจไม่อยู่กับตัว ฉันไม่รู้ว่าจะทำหรือจะพูดอย่างไรดี แต่เท่าที่รู้ก็คือ...ฉันหลงรักเขาเสียแล้วทั้งหัวใจ” ประเด็นแห่งความรักของอาเลย์ดานั้น...ถือเป็นความงดงามดั่งภาพฝัน...ท่ามกลางการปฏิวัติ สนามรบและการเสียสละชีวิต...เธอได้ระบุไว้อย่างจริงจังว่า...หากไม่มีผลงานที่รัฐบาลปฏิวัติสร้างขึ้น พวกเธอทั้งหมดคงไม่สามารถทำหน้าที่ได้หลายๆอย่างได้ในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างในกรณีของเธอที่ต้องทำทั้งงานบ้าน งานนอกบ้าน และมีลูกอีกสี่คน ซึ่งมีอายุห่างกันคนละปีที่ต้องดูแล.. “และถ้าหากไม่มีสถานที่รับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนประถมศึกษา และโครงการเกี่ยวกับการศึกษาที่สำคัญๆ ที่รัฐบาลปฏิวัติเริ่มขึ้น ผู้หญิงอย่างฉันคงไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำ...” ทั้งหมดนี้คือส่วนเสี้ยวหนึ่งแห่งชีวิตในฐานะลมใต้ปีกของนักปฏิวัติคนสำคัญของโลก “เช เกวารา” จากวิถีสำนึกของผู้หญิงคนหนึ่งที่กอปรขึ้นด้วย ความรัก ความศรัทธาที่เกิดจากเบ้าหลอมแห่งอุดมการณ์ทางการเมือง รวมทั้ง แก่นรากแห่งเนื้อในของความรัก...เป็นวิถีแห่งการพลีจิตวิญญาณด้วยสำนึกรู้ที่ตั้งอยู่เหนือความเป็นสามัญแห่งชีวิต..เป็นความเสี่ยง เป็นความเสียสละที่อาจไม่ได้รับผลลัพธ์แห่งความดีงามใดๆตอบแทน ในเงื่อนไขแห่งชะตากรรม... ซึ่งที่สุดแล้วก็ไม่อาจเลี่ยงพ้น ภาวะวิกฤตแห่งความเป็นโศกนาฏกรรม...ยิ่งอยู่ในสถานะของผู้หญิงทุกสิ่งจึงทบทวีความยากลำบากเข้าไปอีก ในโครงสร้างแห่งเป้าหมายของความเป็นชีวิตที่แท้จริง! “เป้าหมายที่เรานำเสนอไม่ใช่เรื่องง่าย..เนื่องจากต้องต่อสู้กับความคิดของผู้ชายที่เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ที่ครอบงำสังคมส่วนใหญ่อยู่ ความคิดนี้จะขัดขวางไม่ให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในกิจกรรมนอกบ้าน ประกอบกับผู้หญิงจำนวนมากเพิกเฉย หลายคนไร้การศึกษาหรือมีค่านิยมต่ำมาก..ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ไม่สามารถขัดขวางพวกเราได้ เราต่างภาคภูมิใจที่สุด ที่สามารถทำให้แม่บ้านในยุคก่อน และโสเภณีมีชีวิตที่ดีขึ้น เรารู้สึกว่า..ตัวอย่างเหล่านี้ช่วยยืนยัน จุดประสงค์ของการเป็นที่ยอมรับ และความเท่าเทียมของผู้หญิงในฐานะที่เป็นศูนย์กลางขององค์กร” “เกศณี ไทยสนธิ..นักเขียนนักแปลคนสำคัญ...คือผู้ค้นพบหนังสือเล่มนี้และนำมันมาจากคิวบา...ด้วยรสชาติแห่งสำนึกที่ว่า..”ถ้าคุณรู้จักเช ต่อให้คุณจะไม่รักเช แต่คุณก็ไม่อาจยืนเฉยๆ โดยไม่หลั่งน้ำตา และไม่ค้อมคำนับให้กับหัวใจที่กล้าหาญของเขาได้เลย “เบญจมาศ วงศ์สาม”...แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาอย่างลึกซึ้งด้วยความรู้สึกทางใจที่กินใจ... “จากบันทึกเล่มเดียวที่ภรรยา ของวีรบุรุษ..ยอมเผยความรู้สึกและความทรงจำที่เธอได้ปิดตายไปแล้วประมาณ 30 ปี...เธอยอมให้พวกเราได้รู้จัก “เธอ” ซึ่งเป็นหญิงที่ “เช” ของพวกเรารัก เธอผู้นี้ต้อง เท่ เก่ง และ มีใจแกร่ง ไม่น้อย ไปกว่าสามีแค่ไหนที่สามารถอยู่เคียงข้างวีรบุรุษ อย่างเช เกวาราได้ และมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรในวันที่ไร้ “เช” ! สำหรับผม เรื่องราวทั้งหมดในความทรงจำของภรรยาผู้เป็นที่รักของเช... “อาเลย์ดา มาร์ช” คือการรับรู้..สู่ฟากฟ้ากว้างแห่งการอยู่ร่วมในอมตธรรมของชีวิตอันจริงแท้...และเป็นเช่นนั้นนับเนื่อง...นิรันดร์…. “โปรดอย่าเพรียกหาผม เพราะผมคงจะไม่ได้ยิน แต่ผมจะรับรู้ถึงตัวคุณในวันที่ฟ้าสดใส ปราศจากลูกกระสุน....”