“การลงทุนกับลูก จะไม่มีคำว่าขาดทุน แม้ว่าเราจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางไปไม่ถึง การแข่งขันเทนนิสวิมเบอร์ดัน การแข่งขันเทนนิสเฟรนซ์โอเพ่น การแข่งขันเทนนิสยูเอสโอเพน การแข่งขันออสเตรเลียน โอเพ่น ก็ตามแต่ประโยชน์จะเกิดขึ้นกับตัวลูกเอง”
วันนี้ “รื่นรมย์คนการเมือง” ขอพาไปสนทนา กับ “ผู้พันเบิร์ด” พ.อ.วันชนะ สวัสดี รองผู้อำนวยการ กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พ่วงด้วยตำแหน่งผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม ซึ่งถือเป็นบทบาทที่สำคัญในฐานะนายทหาร นอกเหนือไปจากบทบาททางด้านการแสดง จากการรับบท
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จากภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และที่ถือเป็นไฮไลต์ครั้งนี้ เรายังจะ พาไปสัมผัสในแง่มุมของการเป็น “คุณพ่อ” ที่มีสไตล์การเลี้ยงลูกชายคนเดียว ที่น่าสนใจ
@ ภารกิจใหม่ที่ท้าทาย
ผู้พันเบิร์ด เล่าถึงหน้าที่การงานในตำแหน่งรองผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ว่าได้เข้ามารับภารกิจตั้งแต่เดือน ส.ค. 2559 และพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยโฆษกกระทรวงกลาโหม ที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของกระทรวงควบคู่ไปกับ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้เจ้าตัวเล่าว่าคุ้นเคยกับงานด้านการประชาสัมพันธ์มาตั้งแต่ครั้งเป็นนายทหารยุทธการและการฝึก กองพันทหารม้าที่ 19 ค่ายสุรสีห์ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เพราะการรบในรูปแบบใหม่จะมีงานด้านกิจการพลเรือน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์ เพราะเวลามีการฝึกในพื้นที่ เราจำเป็นต้องแจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะพื้นที่การรบในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน ที่เป็นลักษณะประกาศเป็นพื้นที่สงคราม
ซึ่งสงครามรูปแบบใหม่ได้เข้าใกล้ประชาชนมากขึ้น ทั้งเรื่องยาเสพติด ภัยพิบัติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นงานด้านความมั่นคง การประชาสัมพันธ์จึงมีบทบาทที่จะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ การประชาสัมพันธ์ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ซึ่งเราต้องเพิ่มเรื่องจิตวิทยาเข้าไปด้วย
“ศาสตร์ด้านนี้ต้องใช้ทั้งวิชาการและประสบการณ์มาผสมกัน เพราะสถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม คน สถานที่ เชื้อชาติ ศาสนา ก็ต้องใช้วิธีแบบต่าง ๆ” แม้ว่าผู้พันเบิร์ด จะคุ้นเคยกับงานประชาสัมพันธ์ แต่ก็ยอมรับว่า งานปัจจุบันที่รับผิดชอบอยู่เป็นงานยากพอสมควร
“งานด้านการรบปัจจุบันไม่ยาก เพราะทุกอย่างมันลงตัวเป็นแบบฟอร์มที่ทำได้ แต่งานด้านประชาสัมพันธ์หรือกิจการพลเรือนเป็นเรื่องที่ยาก ซึ่งต้องเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ทุกครั้ง”
@ ฝึก “น้องวิน” ให้รู้จักอดทน
ด้วยความที่ ผู้พันเบิร์ด เคยเป็นนักแสดง จึงเป็นที่รู้จักและได้รับการสนใจ ทางกองทัพก็มักจะมอบหมายให้ไปทำความเข้าใจกับประชาชนเมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ อย่างครั้งหนึ่ง เกิดเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดน เราต้องการให้ประชาชนออกมาอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย เรานำทหารไปพูดตั้งนานประชาชนก็ไม่ยอมออก พอเจ้าตัวที่เป็นทั้งทหารและดารา ไปพูดประชาชนก็เชื่อ ซึ่งสิ่งที่เขาพูด แต่ต้องเป็นข้อมูล และแนวที่ปฏิบัติได้จริง เพราะไม่เช่นนั้นจะตีกลับมาในเรื่องความน่าเชื่อต่อองค์กร
“ตัวผมเองเข้าถึงได้ง่าย ด้วยความเป็นนักแสดงเป็นแบบอย่างให้กับบุคคลทั่วไป ก็จำเป็นที่จะต้องรักษาภาพในการดำรงชีวิตให้อยู่ในครรลองครองธรรมที่ดีด้วย ซึ่งเป็นเรื่องไม่ยาก”
นอกจากผู้พันเบิร์ด จะเป็นอย่างให้กับเยาวชนทั่วไปแล้ว เขายังเป็นแบบอย่างให้กับ “น้องวิน”ด.ช.วฤณณ์ สวัสดี ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาเองด้วย ด้วยความที่เป็นลูกชาย เป็นผู้ชายด้วยกัน ก็จะฝึกลูกเรื่องความอดทน เรื่องกีฬา รักการทำงานกลางแจ้ง มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การทำงานบ้าน ทั้งการซักผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำให้น้องวิน ซึมซับเรื่องเหล่านี้ สังเกตได้จากเวลาทำงานบ้านเขาก็มาช่วย ถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดี
@ ปั้นลูกชายสู่ “นักเทนนิสระดับโลก”
อย่างเรื่องการเรียนของน้องวิน ผู้พันเบิร์ด บอกว่าจะไม่เน้นเรื่องวิชาการ แต่จะเน้นในเรื่ององค์ความรู้ ซึ่งเป็นการพัฒนาการของเด็กในวัยต่างๆ ซึ่งจะเป็นฐานรากที่แม้จะมองไม่เห็น แต่ก็จะสร้างอนาคตให้ลูกเราเติบโตเจริญก้าวหน้าได้ จึงเน้นการเล่นเสริมความรู้ หรือการเรียนรู้แบบเล่น ไม่เน้นอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ สอนให้วาดภาพ เล่นดนตรี อยู่กับไร่กับนา ดูพืชผักสวนครัว พอกลับมาอยู่บ้านเราเองก็ทำแบบนี้
“ เคยมีครูคนหนึ่งพูดดีมาก เขาบอกว่า บ้านบ้างคนซื้อมาราคาหลายล้าน แต่กลับไม่อยู่บ้านกัน ผมก็คิดว่าการเล่นกับลูกที่ดีที่สุด คือเราเล่นเอง ผมก็ไปศึกษาหาความรู้จากข้างนอกแล้วนำมาปรับกับบ้านของเราเอง ผมวางแผนให้น้องวิน เป็นนักกีฬาเทนนิสระดับโลก ซึ่งผมก็ไม่ได้กดดันอะไร แต่ผมตั้งความหวังเอาไว้ เพราะผมรู้สึกว่า เวลาเราตั้งความหวังไว้ที่ปลายทาง จะทำให้ระหว่างทางเดิน เราจะได้อยู่กับลูกอย่างเต็มที่ หากเราไม่ตั้งความหวังไว้ ผมอาจไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้”
การลงทุนกับลูก จะไม่มีคำว่าขาดทุน แม้ว่าเราจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางไปไม่ถึง การแข่งขันเทนนิสวิมเบอร์ดัน การแข่งขันเทนนิสเฟรนซ์โอเพ่น การแข่งขันเทนนิสยูเอสโอเพน การแข่งขันออสเตรเลียน โอเพ่น ก็ตามแต่ประโยชน์จะเกิดขึ้นกับตัวลูกเอง
คุณพ่อลูกหนึ่งเล่าพร้อมไปกับเสียงหัวเราะว่า เขาเองจริงจัง ที่จะผลักดันลูกให้เป็นนักเทนนิสระดับโลกอย่างมาก ถึงขนาดที่ ทุ่มเทตัวเองไปสมัครเรียนปริญญาโท ด้านจิตวิทยานักกีฬา แล้วยังส่งน้องชายแท้ ๆ ซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาทีมชาติไปลงเรียนเทคคอร์ส เอนไทน์ เอจจิ้ง หรือเวชศาสตร์ชะลอวัย เพื่อนำมาเทรนลูกชายและเพื่อนำมาใช้นักกีฬาไทยคนอื่นๆ ในอนาคต
“ผมอยากบอกไปถึงทุกคนที่อ่านคอลัมน์นี้ ว่า หลายๆ คนที่มีโอกาส และสามารถส่งลูกเรียน อย่าทิ้งโอกาสนี้ไป สร้างคนในครอบครัวให้ดี ถ้าคุณมีโอกาสได้เรียนหนังสือในประถม มัธยมและมหาวิทยาลัย แสดงว่าคุณมีโอกาสมากกว่าเด็กหลายๆคนที่ไม่โอกาส คุณต้องสู้ สร้างคุณภาพให้กับตัวคุณเองและประเทศชาติให้ได้ และสิ่งผมทำทั้งหมด ก็ทำกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินไทย”
เมื่อถามถึงความชอบของน้องวิน ว่าสนใจด้านทหารเหมือนกับพ่อหรือไม่ ผู้พันเบิร์ด บอกอย่างอารมณ์ดีว่า น้องวิน ชอบทหารแบบจริงจังมาก วันเสาร์-วันอาทิตย์ น้องวิน จะเลือกชุดใส่เอง ชุดที่เลือกก็ชุดลายพรางตลอด จนภรรยา เขาเองยังแซวว่า “วินรู้ว่าพ่อเบิร์ด เป็นทหาร พ่อไม่ต้องบอกวินหรอก”
นอกจากนี้ ผู้พันเบิร์ด เองก็เคยพาน้องวิน ไปโรงเรียนนายร้อย จปร. ไปเจอนักเรียนนายร้อย ลูกก็ชอบ บางทีเห็นเราใส่เครื่องแบบทหารกลับบ้านไป ลูกก็ถาม “นี่เครื่องแบบพ่อใช่ไหม ผมก็บอกน้องวินไปว่า เดี๋ยวพ่อก็ให้วินแล้ว แต่ตอนนี้พ่อขอยืมก่อนนะ ซึ่งเขาก็บอกให้พ่อยืมก่อน”
@ วางอนาคต พัฒนากรีฑาไทย
ผู้พันเบิร์ด เปิดใจว่าเขาเองอยากเข้าไปอยู่สมาคมกรีฑา เพราะเป็นชนิดกีฬาที่หลากหลาย ใช้ทักษะหลายอย่างทั้งประเภทลู่และลาน และประเทศไทยเองยังขาดบุคลากรที่มีคุณภาพในเรื่องยุทธศาสตร์การกีฬา จิตวิทยานักกีฬา หรือการปรับฮอร์โมนการใช้ เพราะหลายครั้งที่รู้สึกว่าเรามีความรู้เรื่องเทรนกล้ามที่ดีแล้ว แต่น้องชายกลับบอกว่าไม่เคยทำแบบนี้ ไม่เคยรู้แบบนี้มาก่อน ในอนาคต อีก 10 ปีหลังจากนี้ไป ยังไม่สายที่เราจะมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องกีฬา เรามองว่าบั้นปลาย หากลูกชายแข่งทัวร์นาเม้นได้จริง ก็น่าจะอายุ 15 ปีนั้นหมายความว่า ช่วงอายุ 55 ปีของเขาเองก็เฟดตัวเองออกจากงานด้านทหาร เพื่อติดตามน้องวิน ไปแข่งต่างประเทศ
ก่อนปิดท้ายการสนทนา ผู้พันเบิร์ด บอกว่า สิ่งที่ยึดมาตลอดทั้งการในการทำงานและชีวิตประจำวัน คือ “ทางสายกลาง” เวลาเราประสบความสำเร็จหรือดีใจอะไร ก็ไม่ควรที่จะดีใจมากเกินไป แค่ระดับหนึ่งก็พอ หรือเวลาเสียใจอะไรก็ต้องไม่ปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะของความผิดหวังต้องรีบกลับมา ผลิกพื้นกลับขึ้นมาเพื่อดำเนินชีวิตในอนาคต
“ทางสายกลางเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต ไม่ดีใจ เสียใจจนเกินไป ความยากได้ อยากมีก็มีระดับหนึ่ง ไม่ได้ ไม่มีก็ระดับหนึ่ง”
เรื่อง :ปาริชาติ เฉลิมศรี
ภาพ : ประเวศ พึ่งแสวงผล
