รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต้อหิน ต้อกระจก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เผยโรคต้อกระจกพบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยอาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ 95% มาจากความเสื่อมตามอายุ
ส่วนสาเหตุอื่นๆ อาทิ เกิดอุบัติเหตุของดวงตา ได้รับสารเคมี หยอดตาหรือทานยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งอาจพบได้ร้อยละ 3-4 และต้อกระจกแต่กำเนิดซึ่งพบได้ในเด็กเเรกเกิดร้อยละ 1-2
ระยะเเรกอาจไม่มีอาการที่ส่งสัญญาณเด่นชัด เมื่อเป็นมากขึ้นจะเริ่มตามัวทีละน้อยๆ คล้ายมีหมอกมาบัง โดยเฉพาะเมื่อเจอแสงสว่างหรือแสงแดดก็จะรู้สึกมัวมากยิ่งขึ้น
บางรายอาจพบว่าค่าสายตาเปลี่ยนแปลง เช่น จากต้องใส่แว่นมองในระยะใกล้ ก็กลายเป็นมองใกล้ได้โดยไม่ต้องใส่แว่น หากตามัวเป็นมากขึ้นจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจนำไปสู่ภาวะสูญเสียการมองเห็น
ปัจจุบันเทคโนโลยีการรักษาก้าวหน้ามากจนทำให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ชัดดังเดิมหรือดีกว่าเดิมได้
การรักษามีทั้ง แบบไม่ผ่าตัด ใช้ในกรณียังเป็นไม่มาก อาจสวมเเว่น ใช้ยาหยอดเพื่อชะลอหรือลดความขุ่นต้อกระจกซึ่งอาจได้ผลไม่แน่นอน ส่วนการขยายม่านตาเพื่อรับแสงเข้ามากยิ่งขึ้นอาจใช้รักษาเป็นแต่กำเนิดได้
แบบผ่าตัด โดยผ่าเอาต้อออกแล้วใส่เลนส์เทียมเข้าไป ถือเป็นการรักษาที่ ให้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน
สำหรับเลนส์เทียมแบ่งเป็น ชนิดแข็ง เป็นเลนส์เก้วตาเทียมที่ใช้ผ่าตัดต้อกระจกชนิดแผลใหญ่ ปัจจุบันจะใช้ในผู้ป่วยบางรายเท่านั้น และชนิดนิ่มหรือพับได้ เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะแผลผ่าตัดเล็กลง
เลนส์เทียมชนิดนิ่มยังเเบ่งได้เป็น เลนส์เทียมระยะไกล ผู้ป่วย90% ใช้ , เลนส์เทียมที่ให้ความชัดได้สามระยะคือ ใกล้-กลาง-ไกล และเลนส์แบบยืดหยุ่น ปรับระยะได้เอง ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างคิดค้นพัฒนา
การเลือกใช้ขึ้นกับหลายปัจจัย แต่ที่สำคัญคือลักษณะดวงตา ควรตรวจว่ามีภาวะอื่นๆ ทางตาด้วยหรือไม่
“ต้อกระจกเมื่อตรวจพบเร็ว จะรักษาให้หายได้ทันท่วงที จึงควรพาผู้สูงอายุไปพบจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, อายุ 45 ปีขึ้นไป ควรไปตรวจสุขภาพตาอย่างน้อยปีละครั้งเช่นกัน”