คมนาคมตั้งคณะทำงานกำหนดยุทธศาสตร์รื้อแก้ไขสัญญา-เช่าที่ดินรถไฟทั่วประเทศ เล็งอาร์ซีเอ-ตลาดนัดจตุจักร-ตลาดศรีสมรักษ์-หัวมุมตลาด อตก.-ริมแม่น้ำเจ้าพระยา-รัชดา ปั้นรายได้เพิ่มขึ้นจากพื้นที่ 3.2 หมื่นไร่กว่า 6,042 สัญญา มีรายได้ 2,858 ล้านบาทต่อปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าปีละ 10% ช่วยรถไฟหนีพ้นปัญหาขาดทุน ไม่เป็นภาระรัฐบาล นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) ในฐานะประธานคณะทำงานศึกษากำหนดยุทธศาสตร์การบริหารพื้นที่และติดตามกำกับนโยบายการจัดการรายได้จากทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์-อสังหาริมทรัพย์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)เปิดเผยว่า ได้ประชุมหารือเพื่อกำหนดกรอบการจัดการทรัพย์สินเพื่อสร้างมูลค่าให้เพิ่มขึ้นพบว่า ปัจจุบันการรถไฟฯมีสัญญาที่เอกชนเข้ามาเช่าพื้นที่ สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ ณ วันที่ 30 เม.ย.63 ในพื้นที่กว่า 32,000 ไร่กับสำนักบริหารทรัพย์สินการรถไฟฯกว่า 6,042 สัญญา แบ่งเป็นสัญญาเช่าอาคาร 3,106 สัญญา สัญญาเช่าที่ดิน 2,936 สัญญา ซึ่งจากสัญญาทั้งหมดที่มีทำให้การรถไฟฯมีรายได้เฉลี่ยต่อปีที่ 2,858 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้เพื่อให้การบริหารทรัพย์สินของการรถไฟฯเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ทางคณะทำงานจะเข้ามาจัดระเบียบและกำหนดกรอบการพัฒนาให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น มั่นใจว่าหากดำเนินการสำเร็จจะสามารถสร้างรายได้ในส่วนนี้ให้กับ รฟท.เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่าปีละ 10% ขณะเดียวกันได้ให้การรถไฟฯไปรวบรวมสัญญาของพื้นที่บริเวณอาร์ซีเอ โดยพื้นที่ดังกล่าวให้ทำแผนปฎิบัติการใช้พื้นที่ ตลาดนัดจตุจักร 3 แปลง ตลาดขายปลา 5 ไร่ ตลาดศรีสมรักษ์ จำกัด 5 ไร่ รวมถึงพื้นที่ตรงหัวมุม ตลาดองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) 3 ไร่ พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา 277 ไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อสร้างรายได้ และพื้นที่บริเวณรัชดา 124 แปลง สำหรับในประชุมวันที่ 15 มิ.ย.นี้นอกจากให้การรถไฟฯไปรวบรวมข้อมูลพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯแล้วยังให้ ไปดูรวบรวมพื้นที่และสัญญาที่เกี่ยวข้องกับแปลงอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศทั้งหมดด้วยว่ามีจำนวนแปลงที่ใช้ประโยชน์ สถานะของสัญญา สถานะเวลาของการให้เช่า การบุกรุกพื้นที่มีที่ไหนบ้าง รวมถึงสถานะที่มีการใช้ประโยชน์โดยไม่มีการจ่ายค่าเช่าการรถไฟฯอย่างไรบ้างประกอบการประชุมครั้งต่อไป เพื่อให้คณะทำงานชุดนี้สามารถกำหนดกรอบการดำเนินการให้เกิดความชัดเจนในการสร้างมูลค่าที่มีการทำสัญญาที่มีอยู่ให้กับการรถไฟฯเพิ่มขึ้น เพื่อให้นำรายได้จากพื้นที่ที่สร้างรายได้มาบริหารจัดการการรถไฟฯให้อยู่ได้แบบยั่งยืนต่อไปในอนาคตและไม่เป็นภาระกับรัฐบาล นายสรพงศ์ กล่าวอีกว่า จากการประชุมเบื้องต้นพบว่า มีข้อจำกัดของระเบียบ ข้อกฎหมายในวิธีการเช่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ของกฎหมายของการรถไฟฯ โดยเฉพาะฉบับ พ.ศ.2484 และฉบับ พ.ศ.2544 ที่ปฎิบัติมาไม่สอดคล้องกับกฎหมายปัจจุบัน ซึ่งข้อจำกัดที่เห็นชัดคือจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการยาวนาน เช่น การเช่าที่ดินแบบไม่ต้องประมูลจะต้องใช้เวลาในการอนุมัติกว่า 101 วัน ส่วนประเภทการเช่าแบบประมูลจะมีขั้นตอนระเบียบปฎิบัติการ 12 ขั้นตอน ใช้เวลาการอนุมัติกว่า 146 วัน ส่วนประเภทโครงการพัฒนา เชิญชวนประมูลโครงการมีขั้นตอนกว่า 15 ขั้นตอน ใช้เวลาอนุมัติไม่น้อยกว่า 212 วัน ซึ่งจากข้อจำกัดต่างๆทำให้เห็นว่ากว่าจะอนุมัติและมีรายได้กลับมาที่การรถไฟฯต้องใช้ระยะเวลานาน ขณะเดียวกันยังพบปัญหาอีกว่าหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการบริหารทรัพย์สินทั้งที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ของการรถไฟฯมีถึง 3 หน่วยงานประกอบด้วย สำนักบริหารทรัพย์สิน ฝ่ายการเดินรถ ซึ่งจะเป็นคนดูแลทรัพย์สินตามเขตทางรถไฟทั่วประเทศ และฝ่ายการช่างโยธา ดังนั้นคณะทำงานเห็นว่าควรที่จะมีการจัดระเบียบหน่วยงานที่จะทำหน้าที่บริหารทรัพย์สินให้ศูนย์เดียว เพื่อให้รวบรวมสัญญาที่เอกชนทั้งรายย่อย และรายใหญ่ทำสัญญากับการรถไฟฯอยู่ในที่เดียวกัน เพื่อให้มีการตรวจสอบสัญญาและรายได้ที่เข้ามาเกิดความชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของการประเมินราคาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ของการรถไฟฯนั้น เห็นควรที่จะให้การรถไฟฯหาวิธีประเมินราคาที่ดิน แม้ว่าแปลงอสังหาริมทรัพย์ของการรถไฟฯจะไม่มีโฉนดที่ดิน แต่สามารถนำราคาประเมินที่ดินจากกรมธนารักษ์มาเทียบได้หรืออสังหาริมทรัพย์ข้างเคียงของเอกชน ทำให้การรถไฟฯมีความคล่องตัวในการปฎิบัติมากขึ้น อีกทั้งได้ให้การรถไฟฯไปจัดทำแผนปฎิบัติการ โดยให้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ขณะเดียวกันหากแปลงอสังหาริมทรัพย์มีสิ่งปลูกสร้างควรจ้างบริษัทหรือ ธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน เพื่อให้มีความถูกต้องแม่นยำ