เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.63 นายสุวิทย์ มิ่งมล ประสานงานประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ อสมท (MCOT)ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เรื่องขอให้แจ้งข้อสรุปเงินเยียวยาคลื่น 2600 เมกกะเฮิรตซ์ กับ อสมท อย่างเป็นทางการ และระมัดระวังกระบวนการที่อาจขัดต่อกฎหมาย และนโยบาย ของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ สหภาพฯขอให้ กสทช.ยืนยันวงเงินเยียวยาให้ อสมท อย่างเร่งด่วน และทบทวนมติในการกำหนดแบ่งสัดส่วนชดเชยให้กับเอกชนคู่สัญญ่กับ อสมท เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ และเห็นควรรอความเห็นจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการด้วย เพื่อความรอบคอบและผลประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่าย นายสุวิทย์ ระบุว่า ตามที่ กสทช.มีข้อสรุปของวงเงินเยียวยา คลื่น 2600 เมกกะเฮิรตซ์ กับ อสมท จำนวน 3,235 ล้านบาท และยังมีมติถึงกำหนดการแบ่งเงินเยียวยากับ บริษัทคู่สัญญา ตามหนังสือที่ทาง อสมท ส่งไปยัง กสทช. โดยนายเขมทัตต์ พลเดช ที่อ้างว่ากรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท เป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการชดใช้ และจ่ายค่าตอบแทน ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2563 นั้น สำหรับบัดนี้มีข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการประชุม คณะกรรมการบริหาร อสมท เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 ไม่ได้มีมติรับรองอำนาจของนายเขมทัตต์ ตามที่กล่าวอ้าง ประกอบกับ นายกรัฐมนตรี มีบัญชาให้ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้ปรากฏโดยให้ดำเนินการเรื่องเงินเยียวยา อย่างรอบคอบ โดยยึดถือประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติเพื่อความถูกต้องและรอบคอบ โดยสหภาพฯ เห็นว่า ขณะนี้ กสทช.ควรดำเนินการเพียงแจ้งสรุปวงเงินเยียวยามายัง อสมท อย่างเป็นทางการ เพื่อให้คณะกรรมการบริหาร อสมท ประชุม และสรุปว่าจะตอบสนองต่อวงเงินเยียวยา และต้องมีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งมีทั้งผู้ถือหุ้นรายย่อย และกระทรวงการคลัง ผู้ถือหุ้นใหญ่ อยู่ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนี้ หาก กสทช. มีมติก้าวล่วงถึงสัดส่วน การชดเชยโดยอ้างอิง เอกสารการมอบและใช้อำนาจที่อาจมิชอบของประธานคณะกรรมการบริษัท และนายเขมทัตต์ แล้วเกิดข้อเท็จจริงว่าเป็นการมอบและใช้อำนาจที่ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบ จนความเสียหายขึ้นภายหลังก็จะทำให้ กสทช.ต้องเสียหายไปด้วย