ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต ความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย นับเป็นความทุกข์ทรมานขั้นสูงสุดในทรรศนะของ “โก้วเล้ง”...นั่นคือชะตากรรมที่ยากจะป้องกัน แต่จักต้องเรียนรู้เอาไว้ ผ่านรสชาติของความเป็นโลก เป็นชีวิต เป็นหยาดหยดของสุรา รวมทั้งเป็นหยาดน้ำตาของความรัก ใน “หงส์ผงาดฟ้า” ...โก้วเล้ง...ถึงกับกล่าวเอาไว้ว่า... “สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือความเปลี่ยวร้างเดียวดาย ...ความเปลี่ยวร้างเดียวดายที่เวิ้งว้างว่างเปล่า...ไร้ที่พักพิง กระทั่งไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับเรื่องราวใด ก็ล้วนไม่อาจตัดสินใจได้โดยแน่นอน” เหตุดั่งนี้...บนสายทางแห่งชีวิตของโลก ความรักจึงนับเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลแม่นตรงต่อหัวใจของมนุษย์มากที่สุด หากนับเนื่องมันกับความแค้นก็มีข้อพิจารณาที่น่ารับฟัง...แม้ความรู้สึกประการนี้จะต้องจมอยู่กับสภาวะของความปวดร้าวก็ตาม “หากไม่อาจรักในสิ่งที่ตนรัก ก็ไม่อาจแค้นในสิ่งที่สมควรแค้น สำหรับบุรุษผู้ยังไม่เยือกเย็นผู้หนึ่ง ความเจ็บปวดรวดร้าวนี้...ไหนเลยทนทานรับได้...” “ไม่รักคือแค้น รักถึงที่สุดก็กลายเป็นแค้น...ในระหว่างรักกับแค้นห่างกันเพียงเส้นกั้นเท่านั้น” เรื่องราวความรักและความแค้นที่ยกมาเปรียบเทียบกันจาก “ซาเสี่ยวเอี้ย” มาถึง “หงส์ผงาดฟ้า”...คือเครื่องชี้ถึงข้อตระหนักในความเป็นมนุษย์ ที่ดำรงอยู่คาบเกี่ยวกันระหว่างสิ่งสองสิ่ง ที่มีด้ามอันคมกริบและมันคืออาวุธร้ายที่จะพลิกกลับมาเชือดเฉือน และกรีดลงไปในร่างกายและจิตใจของเราทุกคนได้ เพราะแท้จริง “...ถึงอย่างไร มนุษย์แท้จริงก็เป็นมนุษย์ แม้นับว่าหัวใจของมันมีน้ำแข็งพอกอยู่อีกชั้นหนึ่ง แต่น้ำแข็งก็มีวันละลายได้...พลานุภาพของความรักยิ่งใหญ่กว่าความแค้นตลอดกาล..มีบางครั้งดูไปเหมือนว่าความแค้นจะเกรี้ยวกราด แหลมคม ลึกซึ้ง ตรึงใจกว่า...แต่มีพลานุภาพของความรักเท่านั้น..ที่จะดำรงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ไม่เปลี่ยนแปร” คำกล่าวใน “ดาบจอมภพ” บทนี้นับว่ามีความกินใจ และกลายเป็นความทรงจำอันยากจะสลัดหลุด...เนื่องเพราะมันคือความผูกพัน ที่เกี่ยวเนื่องกับประพันธกรรมหลายๆเรื่องของ “โก้วเล้ง”...ซึ่งก็คือยุทธจักรของแบบจำลองแห่งชีวิตในบทสนทนาของตัวละครแต่ละตัว ผ่านบทบาทในส่วนของบทสนทนา ซึ่งก็ล้วนแต่อยู่ในบริบทแห่งการกระทำที่แตกต่างกัน ทั้งหมดล้วนมีพลังต่อการสอนสั่งให้ชีวิตในแต่ละชีวิต ได้มีโอกาสทบทวนตัวเอง ผ่านเนื้อแท้ทางจิตวิญญาณของตน...ตราบใดที่โลกยังเป็นโลกย์และพวกเราต่างว่ายวนอยู่ในโลกียวิสัยอันสมบูรณ์...ชีวิตในแต่ละชีวิตก็ย่อมจะถูกสาดต้องด้วยคลื่นลมที่เป็นทั้งมายาจริตและมิจฉาทิฐิ อันน่าหวาดหวั่นและไร้การควบคุมจากสิ่งอันสมบูรณ์แท้จริง...ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกล้วนตั้งอยู่กับนัยอันเป็นสามัญที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณพื้นฐานของความเป็นมนุษย์เพียงเท่านั้น...ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า..ใครและใครจะเรียนรู้และดูแลสอนสั่งชีวิต...ด้วยบทเรียนที่กลั่นออกมาจากชีวิตได้มากกว่ากัน...เหล่านี้คือความจริงหรือความลวง คือความทุกข์หรือความสุขกันแน่.. “ความรักสามารถดลบันดาลให้ ผู้คนแปรเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว อาจหาญ กล้าหาญ และเชื่อมั่นกว่าเดิม..เพียงแต่ว่า ความรักสามารถเปลี่ยนแปลงตนเอง หากแต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบุคคลอื่น” ใน “ดาวตก ผีเสื้อ กระบี่” คำกล่าวนี้นับว่า..เป็นการเปิดเปลือยตัวเองอย่างถึงที่สุด...ความรักคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวตนของมนุษย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองเท่านั้น...ความรักมุ่งบอกถึงความเป็นโลก บ่งบอกถึงความเป็นชีวิต และบ่งบอกถึงความจริง...ได้อย่างไม่ปิดบังอำพราง..มันคือความเฉพาะ “โลกนี้ยังมีการเคี่ยวกรำใดที่สร้างความปวดร้าว ให้กับผู้คน ยิ่งกว่าการเคี่ยวกรำของความรัก/..ความรักเป็นความจริง ทุกเรื่องราวล้วนเป็นความจริง” ระหว่างทางจากโลกสู่ความรัก...หลายครั้งหลายคราที่ชีวิตมนุษย์ถูกล่วงผ่านด้วยการร่ำเสพย์รสชาติของสุรา...เครื่องดื่มอันมีรสชาติขมปร่าแต่กลับสร้างพลังทดแทน ความรู้สึกขาดพร่องแห่งจิตวิญญาณนานา ...เป็นโอสถที่ชุบชูชีวิตสู่ความหาญกล้าที่ตั้งอยู่เหนือโครงสร้างแห่งอารมณ์และข้อคำถามแห่งปริศนาชีวิตใดๆ “คนเสเพล ปิศาจสุรา มิเห็นที่ใดไม่ดี นั่นยังวิเศษกว่าวิญญูชนจอมปลอมสวมหน้ากาก ออกหลอกลวงมากมายนัก หรือไม่ใช่?” ประเด็นคำถามดังกล่าวนี้ นับเป็นที่จดจำจาก “ฤทธิ์มีดสั้น” อันถือเป็นการจดจำของคำถามเชิงเหยียดเย้ยในความสัตย์จริงของสังคม ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะต้องติดกับและตกเป็นเหยื่อที่เป็นเบี้ยล่างของการยอมรับนับถือจากหมู่ผู้รู้ที่เต็มไปด้วยอำนาจแห่งเล่ห์กลอันฉ้อฉล และหลอกตาหลอกใจคนส่วนใหญ่อยู่เสมอ...ชีวิตของโลกดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยมิติเชิงปริศนาเช่นนี้ ในห้วงเวลา ณ ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องจริงอันน่าเวทนาในประเทศของเรา ที่ช่างเกลื่อนกราดไปด้วยวิญญูชนจอมปลอม บุคคลที่ดูมีค่าจากภาพฉาบแต้มปรุงแต่งจากภายนอก แต่ลึกลงไปกลับเต็มไปด้วยกลลวงและความอำมหิต ชีวิตต่อชีวิตมักขุดหลุมพรางล่อหลอกให้อีกฝ่ายหนึ่ง ต้องตกไปอยู่ในบ่วงสันดานอันโหดร้ายของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไร้สำนึกของความละอายต่อบาป...แต่ก็นั่นแหละ.. “วาจาบางประการก็มีแต่ ดื่มสุราหลายจอกจึงบอกออกมาได้” สุรา ณ ที่นี้จึงเหมือนสิ่งเชื่อมโยง เป็นตัวกลาง เป็นตัวแทนและตัวกลางแห่งมโนสำนึก ตลอดจนความเร้นลับแห่งจริตต่างๆนานาด้านใน ให้ไหลหลั่งข้อเท็จจริงแห่งสำนึกคิดและความรู้สึกอันเก็บซ่อนกักขังออกมา...สิ่งนี้ถือเป็นภาพแสดงอันชัดแจ้งของชีวิตแห่งโลก ที่คนผู้หนึ่งจะสามารถเผยโฉมทางความคิดของตนให้ปรากฏออกมาได้ เป็นภาวะหลุดพ้นที่ถูกตอกตรึงไว้ด้วยเงื่อนไขของกาลเวลา “ฆ่าคนต้องทันเวลา...พอโอกาสผ่านพ้นเรื่องราวและผู้คนเปลี่ยนแปร สถานการณ์ก็ไม่ถูกต้องอีกแล้ว..เป็นดั่งการดื่มสุรา ดื่มสุราต้องทันเวลา...หากแม้นท่านเก็บสุราจอกนี้ไว้ดื่มในภายหน้า...มันก็จะแปรรสเป็นเปรี้ยวไปได้” วาทกรรมจาก “ไม่มีน้ำตาวีรบุรุษ” ตรงส่วนนี้เมื่อใครได้สัมผัส...เมื่อใครได้อ่านไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็ตาม มันจะส่งผลอันดิ่งลึกต่อสัญชาตญาณของการเตรียมการ และการเลือกปฏิบัติที่เฉียบคมอันมาถูกที่ถูกเวลาของชีวิต สุราอาจนับเป็นสิ่งที่เลวร้ายซึ่งสามารถทำให้เสียจริตในคุณค่าของศีลธรรม แต่หากผู้คนถือเอาสุราเป็นเครื่องช่วยชีวิต มิติแห่งความเปลี่ยนแปรและดำเนินไปของพวกเขา ก็จะเข้าใจได้ถึงส่วนผสานอันเป็นสัจจะของโลกว่าสิ่งใดสอดคล้องกับสิ่งใด สิ่งใดสามารถเกื้อหนุนกับสิ่งใด บนความหลากหลายแปลกต่าง ย่อมมีคู่แห่งความสมดุลเกิดแก่ชีวิตที่เป็นชีวิตได้เสมอ “ฟังว่า..หากสุราบวกนารีสามารถบันดาลให้บุคคลประเภทใดๆลืมความทุกข์โศกอย่างสิ้นเชิงได้” ประเด็นอันน่าใคร่ครวญตรงส่วนนี้มาจาก “ดาบจอมภพ”...นี่คือคู่เหมือนของชีวิตแห่งโลก ที่ดำเนินไปคู่กันเสมอ บนเส้นทางแห่งอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เคยตายไปจากหัวใจ มันคือเสน่หาอันล้ำลึกของความมีชีวิตชีวา หลายๆขณะเราต้องเรียนรู้กลไกของโลกกว้าง ผ่านสิ่งบางสิ่งที่ทายท้าอยู่บนหนทางของโลกียสุขเช่นนี้อย่างเข้าใจกันบ้าง...แท้จริงนี่คือบทสะท้อนของความโปร่งใจ เป็นแบบแผนแห่งการรับรู้ของจิตอันแจ่มใส เป็นความเข้มข้นของจิตวิญญาณที่ไม่อาจสอนสั่งกันได้...นอกจากใครก็ตามที่จะต้องก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ดั่งนี้ด้วยจริงจัง “แจ่มใสคือเมามาย...เมามายคือแจ่มใส ชีวิตเป็นเช่นละคร ไยจึงต้องจำแนกให้กระจ่างชัดถึงเพียงนั้น สุราข้นกว่าน้ำ น้ำไม่น่าดื่มกว่าสุราจริงๆ” สัจธรรมที่ค้นพบจากความคลุมเครือในด้านลึกของความเป็นสุรา แปรเปลี่ยนเป็นการค้นพบนัยแห่งความกระจ่าง บทวิถีทางที่เต้นเร่าไปด้วยบทแสดงที่เคลือบแคลง ซึ่งชีวิตกระทำต่อชีวิต มีบางสิ่งที่ดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์ต่อโลกแห่งความหมายของชีวิตได้...และนั่นอาจถือเป็นที่มาที่ไปของคนผู้หนึ่ง.. “คนผู้หนึ่ง เมื่อเมามายจริงๆ เรื่องราวที่กระทำต้องเป็นเรื่องราวที่ยามปกติคิดกระทำ แต่ไม่กล้ากระทำ” ว่ากันว่า ความตอนนี้จาก “จับอิดนึ้ง” คือดวงตาที่ส่องประกายถึงหัวใจที่แท้ของมนุษย์ ซึ่งอาจจะหลงลืมกันไป หากใครผู้หนึ่งยอมกระทำเรื่องเช่นนี้ เขาย่อมต้องกระทำเพื่อใครผู้หนึ่ง ใครผู้นี้ต้องต้องเป็นบุคคลซึ่งสลักฝังใจที่ไม่มีวันลืมเลือนได้ กระทั่ง ต่อให้ห้วงสมองของมันกลับกลายเป็นความว่างเปล่าก็ตาม “ต่อให้เมาแทบตายใครคนหนึ่ง ก็ยังอยู่ในจิตใจของมัน ยังคงอยู่ในไขกระดูกของมัน หล่อหลอมเข้ากับจิตวิญญาณของมัน มันจะกระทำเรื่องนี้โดยไม่คำนึงถึงทุกสิ่ง แม้แต่ตัวเองก็ไม่ทราบว่าตัวเองกำลังทำอะไร ทั้งนี้เพราะหัวใจของมันตกอยู่ในกำมือของผู้นั้น...มีแต่ผู้ที่เมามายจริงๆจึงค่อยเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ได้” “โลก เหล้า และความรัก” ถือเป็นหนังสือรวมปรัชญาวาทะจากวรรณกรรมอมตะของ “โก้วเล้ง”...โดย “พันหนึ่งราตรี”...โดยมี “เรืองรอง รุ่งรัศมี” ผู้ลึกซึ้งในปวงปรัชญาของ “โก้วเล้ง” จาก “เดียวดายใต้เงาจันทร์” เป็นที่ปรึกษา.../...หากนับเนื่องถึงปีนี้...7 มิถุนายนที่ผ่านมา...หากยังมีชีวิตอยู่ “โก้วเล้ง” จะมีอายุได้ 83 ปี ในนามฉายาแห่ง “มังกรโบราณ”/แต่สำหรับ “เรืองรอง รุ่งรัศมี”...นักเขียน นักแปล..เรื่องราวแห่งประพันธกรรมของจีนอันเลื่องชื่อของไทย ก็ได้ละจากชีวิตไปเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมาด้วยวัย 67 ปี.../ชีวิตและการจากไปของบุคคลทั้งสองนับเนื่องเป็นความรำลึกถึงต่อการพึงใจอันยิ่งใหญ่..ในผลงานแห่งคุณค่าด้านวรรณศิลป์ที่คงมิอาจจะลืมเลือนได้แม้เมื่อใด โดยเฉพาะ ผู้ที่รักและซาบซึ้งในรสชาติที่ล้ำลึกและส่งผลกระกระทบต่อจิตวิญญาณของงานสร้างสรรค์ในท่วงทำนองที่ติดตรึงใจเช่นนี้.... “ชีวิตมนุษย์หากมีเพื่อนรู้ใจลึกซึ้งเพียงแค่คนเดียว...แม้ว่าตายไปก็ไม่เสียดาย ...สตรีนั้นยินยอมให้เพื่อนชายของเธอไปตาย ก็ไม่ยอมให้เขาไปคบเพื่อนหญิงคนใหม่ เพราะว่ามีเพียงคนตายเท่านั้น ที่ไม่สามารถไปคบหาเพื่อนหญิงคนใหม่ได้” ความแม่นตรงทางความคิดจาก “เดียวดายใต้เงาจันทร์” มักมีความหมายเชิงรสชาติเช่นนี้..มิอาจปฏิเสธและหลีกหนีความจริงได้ว่าไม่จริง...หลายครั้งที่มันสร้างความสั่นสะท้านทางความรู้สึกทับรอยลงไปในความจริงของหัวใจที่มืดมนและร้าวระบม “ความรักคืออะไร? รักกันดูดดื่มลืมตาย รักจนกระทั่งประสาทเลอะเลือน รักจนกระทั่งปัญญาโง่งม รักจนกระทั่งขาดเธอฉันก็จะตาย นอกจากเธอแล้วฉันไม่ต้องการสิ่งใดอีก รถยนต์ก็ไม่ต้องการ ตึกก็ไม่ต้องการ ชื่อเสียงก็ไม่ต้องการ อาชีพการงานก็ไม่ต้องการ กระทั่งพ่อแม่ พี่น้อง สามี และ บุตร ก็ไม่ต้องการ กระทั่งแม้ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ต้องการ กระทั่งแม้ชีวิตก็ไม่ต้องการ...นี่จะจัดว่าเป็นความรักได้ไหม? แน่นอน ต้องเป็น หากแม้นว่ากระทั่งอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ ยังไม่อาจจัดได้ว่าเป็นความรัก จะยังมีอารมณ์ใด ที่จัดว่าเป็นความรักได้อีก.../แต่ว่าความรักเช่นนี้ สามารถรักษาไว้ได้นานแค่ไหน? เป็นเช่นนี้! ..ความหลงใหลจึงเป็นดั่งความเดียวดาย ที่จมลึกอยู่กับทาบเงาที่บางเบาของดวงจันทราจนไม่อาจสัมผัสรู้สึกได้...แต่กับอารมณ์บางอารมณ์ คนเราก็ยินยอมที่จะแหลกสลาย..ไปกับรสชาติที่ไม่เป็นรสชาตินี้ แม้จะถูกตราหน้าว่าโง่งมสักปานใดก็ตาม.../ ดั่งนี้แล้ว...จาก”โก้วเล้ง”ถึง”เรืองรอง รุ่งรัศมี”...ที่สุดเราก็พบว่า.. “ความรักคือสิ่งที่จริงแท้...คือสิ่งที่เข้มข้น คือการไม่คำนึงถึงอื่นใด คือการไม่คำนึงถึงความเป็นความตาย คือสิ่งที่ทำให้หูของคนเปลี่ยนเป็นหนวก ดวงตาของคนเปลี่ยนเป็นบอด และก็น่าเสียดายที่ความรักโดยทั่วไปแล้ว มักเป็นสิ่งที่สั้นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง...เท่านั้น”