ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย ความรุนแรงในสหรัฐอเมริกานั้น แม้จะเริ่มจากการที่ตำรวจผิวขาวในมินนิอาโปลิสใช้เข่ากดคอผู้ต้องสงสัยผิวดำ จอร์จ ฟลอยด์ จนตาย ทำให้เกิดการประท้วงกระจายไปในหลายๆรัฐของสหรัฐฯ และขยายวงไปถึงภาคพื้นยุโรป ต่อมาการประท้วงโดยสงบของกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเหยียดสีผิว เหยียดเชื้อชาติ ศาสนา และเพศ กลับมีการเข้ามาแทรกแซงโดยกลุ่มซ้ายหัวรุนแรง คือกลุ่มที่เรียกว่า “ANTIFA” หรือขบวนการต่อต้านฟาสซิสต์ (Anti-Fascist Action) ขบวนการนี้เป็นการรวมตัวกันอย่างหลวมๆของกลุ่มคนที่มีแนวคิดโน้มเอียงไปทางซ้าย ต่อต้านการเหยียดผิว เชื้อชาติและเพศในทุกรูปแบบ รวมทั้งการกดขี่กีดกันผู้อพยพที่หนีภัยสงคราม อย่างไรก็ตามชื่อของแอนติฟาบ่งบอกชัดว่ามีจุดประสงค์ในการรวมตัวกันเพื่อต่อต้านเผด็จการ โดยเฉพาะพวกขวาสุดโต่ง และมิได้มีวัตถุในการต่อสู้ในเชิงอุดมการณ์ทางการเมืองของฝ่ายซ้าย เช่น ลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ขบวนการแอนติฟาจะมีท่าทีต่อต้านรัฐ การใช้อำนาจรัฐและนิยมการก่อความรุนแรง ทำลายทรัพย์สิน จนถึงการปล้นระดมอีกด้วย ขบวนการแอนติฟานั้นมีการก่อกำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1932 ที่เยอรมนี เพื่อเป็นกลุ่มต่อสู้ติดอาวุธให้กับขบวนการซ้ายจัดใช้ต่อกรกับพวกนาซีขวาสุดโต่งที่เหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติศาสนา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฮิตเลอร์ และแนวคิดนี้ก็นำมาจากแนวคิดของมุสโสลินี ผู้นำอิตาลีในขณะนั้น ที่ประกาศแนวทางฟาสซิสต์ชาตินิยมขวาสุดโต่ง ส่วนในสหรัฐฯหลังสงครามกลางเมือง 1861-1865 ที่ขัดแย้งกันด้วยปัญหาทาสผิวดำ จนในที่สุดมีการเลิกทาสแต่ก็ยังมีการกดขี่ แบ่งแยกคนผิวดำผู้ที่เคยเป็นทาสและลูกหลานในรุ่นหลัง ชาวผิวขาวขวาสุดโต่งที่เหยียดผิว จึงจัดตั้งเป็นสมาคมลับที่เรียกว่าคลูคลักแคลน ใช้สัญลักษณ์ไม้กางเขนจุดไฟ ใส่ผ้าคลุมหน้าตั้งกองกำลังไปข่มขู่เข่นฆ่าชาวผิวดำ เผาบ้านเรือนและทรัพย์สิน จนถูกรัฐบาลปราบปราม จึงลงเคลื่อนไหวใต้ดิน แต่ก็ยังมีการสืบทอดแนวคิดมาจนทุกวันนี้ จึงเห็นได้ว่ารูปแบบของการต่อสู้ระหว่างขวาสุดโต่งและซ้ายตกขอบนั้นมีการพัฒนาสืบทอดกันมายาวนาน แต่ที่เหมือนกันคือนิยมความรุนแรง ดังจะเห็นได้ว่ามันฝังรากลึก และตอกย้ำในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นคือ สงครารมระหว่างนาซีเยอรมนีและสหภาพโซเวียต แม้สงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติไปนานแล้ว แต่แนวคิดในการโฆษณาชวนเชื่อทั้งจากฝั่งฟากที่อ้างตนว่าเป็นประชาธิปไตย กับฝั่งฟากที่อ้างตนว่าเป็นคอมมิวนิสต์ โดยที่ปัจจุบันเกือบจะมองไม่เห็นลัทธิคอมมิวนิสต์ในทางปฏิบัติที่รัสเซีย เพื่อโจมตีกัน ซึ่งอาจแยกแยะจริงเท็จได้ลำบาก ดังจะเห็นได้จากการพยายามบิดเบือนการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่สงครามโลกครั้ง 2 ยุติครบ 75 ปี เพื่อทำให้ดูว่าฝ่ายพันธมิตรโดยเฉพาะสหรัฐฯ เป็นกุญแจสำคัญที่เอาชนะนาซีและยุติสงครามโลกลงได้ แต่ฝ่ายรัสเซีย ซึ่งก็จัดงานฉลองในวันที่ 9 พฤษภาคม ได้อ้างว่ารัสเซีย (ในขณะนั้นคือโซเวียต) เป็นผู้ที่ทุ่มเทกำลังพลหลายแสนคนเข้าปลดปล่อยยุโรปตะวันออก และยึดกรุงเบอร์ลินศูนย์กลางอำนาจของฮิตเลอร์ได้ในเดือนพฤษภาคม แม้ว่ารัสเซียจะสูญเสียกำลังพลจำนวนมาก และเมืองหลายเมืองของรัสเซียจะถูกทำลายด้วยกองกำลังทหารที่เข้มแข็งของนาซี German Wehrmacht ส่วนสหรัฐฯและอังกฤษพึ่งจะเคลื่อนกำลังเข้าในภาคพื้นยุโรปในเดือนมิถุนายน 1944 ในขณะที่นาซีเยอรมนีเข้ายึดครองพื้นที่เหล่านี้ตั้งแต่ปี 1941 และบุกเข้าโจมตีสหภาพโซเวียต ในช่วงเวลาเหล่านั้น ขบวนการนาซีได้ก่อกรรมทำเข็ญด้วยการเข่นฆ่าชาวยิว ชาวสลาฟ และเชื้อชาติอื่นๆ โดยถือว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์อารยันที่สูงส่ง อนึ่งในช่วงที่ฮิตเลอร์ขยายแนวคิดนาซี และเหยียดย่ำเชื้อชาติอื่น ยุโรป และสหรัฐฯก็มิได้มีท่าทีต่อต้านอย่างเอาจริงเอาจัง จนเมื่อชนะสงครามแล้ว นอกจากนี้ยังขยายผลไปสู่การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรงภายหลังจากที่สหภาพโซเวียตได้เข้ายึดเบอร์ลิน และทำลายนาซีในยุโรปตะวันออก จวบจนปัจจุบันภาพของโซเวียต จึงถูกแต่งแต้มจากประวัติศาสตร์ ว่าคือผู้รุกรานและยึดครองยุโรปตะวันออก จึงเป็นหน้าที่ของสหรัฐฯและยุโรปตะวันตก จะต้องเข้าไปปลดปล่อยและผนึกกำลังเข้าเป็นนาโต้ ซึ่งในมุมมองของรัสเซียคือการคุกคามรัสเซีย ในทางตรงข้ามยุโรปตะวันออก ทั้ง เชคโกสโลวาเกีย ยูเครน และโปแลนด์ต่างได้ดินแดนเพิ่มขึ้นจากการที่โซเวียตได้ขับไล่และเอาชนะนาซีได้ในดินแดนเหล่านั้น ซึ่งหลายส่วนเป็นของอดีตจักรวรรดิ์ปรัสเซีย ด้วยมุมมองที่เที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์จึงจะทำให้เข้าใจได้ว่าแท้ที่จริงสหรัฐฯและอังกฤษไม่ใช่พระเอกขี่ม้าขาวมากอบกู้ยุโรป แต่กลับเป็นผู้ล่าอาณานิคมภายหลังสงครามโลกด้วยการแบ่งแยกประเทศต่างๆ ในรูปแบบที่ตนต้องการ และเข้าครอบงำในที่สุด อย่างกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง สหรัฐฯ มิใช่ผู้ปลดปล่อยเพราะภายในประเทศก็ยังมีการกดขี่แบ่งแยกสีผิว เชื้อชาติศาสนา และเพศไม่ต่างจากนาซีเยอรมนี ด้วยเหตุนี้การจลาจลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ จึงเป็นการย้อนแย้งต่อภาพลักษณ์ที่สหรัฐฯมักจะแสดงเสมอว่าตนเองเป็นผู้ปลดปล่อย รักเสรีภาพ ความยุติธรรม และความเสมอภาค แต่ในความเป็นจริงด้วยการปกครองในรูปแบบดูเป็นประชาธิปไตย แต่เนื้อหาคือเผด็จการ โดยคณะบุคคลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องกัน ที่เรียกว่า “รัฐลึก” (Deep State) สหรัฐฯกลายเป็นนักล่าอาณานิยมยุคใหม่ที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทั้งภายในประเทศ และประเทศอื่นๆ มาหล่อเลี้ยงกลุ่มทุนที่ปกครองประเทศอยู่เบื้องหลังฉาก จึงไม่น่าแปลกใจที่สหรัฐฯจะมีขบวนการขวาสุดโต่งอย่างคลูคลักแคลน ที่อ้างความเหนือกว่าของคนผิวขาว และยืดโยงกับการบิดเบือนความเชื่อจากไบเบิล ในนามคริสต์ศาสนา โดยขบวนการนี้ได้สืบทอดและแปรรูปมาสู่ยุคปัจจุบัน ไม่ต่างจากลัทธินาซี ด้วยเหตุดังกล่าวจึงมีวิวัฒนาการของขบวนการซ้ายตกขอบที่จะออกมาตอบโต้และก่อความรุนแรง ในแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ซึ่งทรัมป์กำลังเตรียมการจะประกาศว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย แต่ไม่ดำเนินการเด็ดขาดกับกลุ่มขวาตกขอบที่นิยมความรุนแรงโดยเท่าเทียมกัน