บลจ.พรินซิเพิล มองตลาดหุ้นไทยยังสามารถลงทุนเพื่อการออมในระยะยาว แม้ดัชนีปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,400 จุด หลังประเทศไทยจัดการปัญหาแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดี เตรียมผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 4 และออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและท่องเที่ยวภายในประเทศ และความคาดหวังเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯจะฟื้นตัวเร็วกว่าคาด ชูกองทุน PRINCIPAL SET50SSF-SSFX ลงทุนหุ้น SET50 ทางเลือกเพื่อการออมเงินและลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม โดยกองทุนให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (14 เม.ย.- 5 มิ.ย.63)ที่ 7.31% เกณฑ์มาตรฐานชี้วัดที่ 7.74% สามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ถึง 30 มิ.ย.63 นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยดัชนี SET Index ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2563 ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,400 จุด จากที่ลงไปทำจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม 2563 (13 มีนาคม 2563) ที่ผ่านมาที่ 969.08 จุด หลังจากประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่(COVID-19)ได้อย่างดี และมีการทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้กิจการต่างๆ กลับมาเปิดดำเนินการได้มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนลดลง เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ในไทยและบางประเทศเข้าสู่ระดับที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และเริ่มเห็นการเปิดดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น สำหรับประเทศไทยคาดว่าภาครัฐจะพิจารณาผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ระยะที่ 4 ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนนี้ และเตรียมออกมาตรการต่างๆเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศอาทิ การปลดล็อกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกรกฏาคมนี้,การเสนอมาตรการแจกคูปองส่วนลดที่พักและแพ็คเกจไทยเที่ยวไทย,การนำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศไปลดหย่อนภาษีเงินได้ ฯลฯ ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนจากภายนอกประเทศคือ ความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดไว้ โดยการใช้นโยบาย QE อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ การประกาศตัวเลขจ้างงานของสหรัฐฯในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาถือว่าดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านตำแหน่ง ตลอดจนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)รอบล่าสุด หลังจากก่อนหน้านี้ FED ได้ออกมาตรการสนับสนุนด้านการเงินไปมากแล้ว นายจุมพล กล่าวต่อว่า แม้ SET Index ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหุ้นไทยยังคงเป็นทางเลือกที่ดี สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนเพื่อการออมเงินในระยะยาว โดยสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษหรือ Super Savings Fund Extra Class (SSFX) ซึ่งสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เท่านั้น เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้เพิ่มเติมในปีนี้ (ไม่รวมกับวงเงินซื้อหน่วยลงทุนกองทุนเพื่อการออม หรือ SSF แบบปกติ) โดยนับตั้งแต่ที่ทาง บลจ.พรินซิเพิลเปิดเสนอขายกองทุนกองทุนเปิดพรินซิเพิล เซ็ท 50 อินเด็กซ์เพื่อการออม ชนิดเพื่อการออมพิเศษ Super Savings Fund Extra Class (PRINCIPAL SET50SSF-SSFX) กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยนับจากจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนฯ 14 เมษายนถึง 5 มิถุนายน 2563 ให้อัตราผลตอบแทน 7.31% SET50 TRI Index 100% ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานชี้วัด มีอัตราผลตอบแทน 7.74% “ในเดือนมิถุนายนนี้กองทุนรวมเพื่อการออมพิเศษ SSFX จะสิ้นสุดระยะเวลาซื้อหน่วยลงทุนภายในสิ้นเดือนนี้ ดังนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพื่อการออมเงินในระยะยาวแล้ว ผู้ลงทุนได้รับประโยชน์จากทั้งการลงทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้เต็มสิทธิ์สูงถึง 200,000 บาทหรือตามจำนวนเงินลงทุนของผู้ลงทุน ซึ่งถือว่ามีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมและยังได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเงินได้เพิ่มเติม”