ส.ว.สนธิกำลัง 3 องค์กรอิสระ สอบเงินกู้ 1 ล้านล้าน สั่งจับตาจัดซื้อจัดจ้างวิธีเฉพาะเจาะจงเปิดช่องทุจริต ด้าน "ป.ป.ช.-ผู้ตรวจการ-สตง."ประสานเสียงพร้อมเป็นกลางในการตรวจสอบ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.เวลา 1 0.00 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก สมาชิกวุฒิสภา และประธานกรรมาธิการ ทั้งนี้ที่ประชุมได้เชิญองค์กรอิสระ ทั้ง 3 องค์กร ประกอบด้วย พร้อมด้วย พล.อ. ชนะทัพ อินทามระ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และพล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อหารือร่วมกันร่วมกันในการแนวทางการจัดทำมาตรการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในการใช้จ่ายเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ไข เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากนั้นเวลา 13.00 น ได้ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายกล้าณรงค์ กล่าวว่า กมธ. ได้เชิญทั้ง 3 หน่วยงานมาร่ว กมธ. ได้เชิญทั้ง 3 หน่วยงานมาร่วมหารือเกี่ยวกับการอภิปรายของวุฒิสภา ซึ่งวุฒิได้ตั้งข้อสังเกตคือ 1.ขอให้นำเงินกู้มาแก้ปัญหาให้ตรงตามวัตถุประสงค์ 2.ไม่ให้มีการทุจริต โดยเชื่อว่ารัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหา แต่ต้องยอมรับว่ากลไกของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ในทางปฏิบัติอาจจะมีข้อบกพร่องเกิดการทุจริตได้ จึงเห็นว่ารัฐบาลต้องระวังไม่ให้มีการทุจริต โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างวิธิเฉพาะเจาะจงที่อาจเป็นช่องว่างได้ 3.การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม 4.การประเมินผลสัมฤทธิ์โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย และกมธ.มีความเป็นห่วงเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างที่ต้องยกเว้นระเบียบต่าง ๆ และการขัดกันแห่งประโยชน์ การยักยอกทรัพย์สิน รวมไปถึงการรับผลประโยชน์ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯได้แจ้งไปยังองค์กรอิสระทุกองค์กร และได้เสนอแนะให้มีการจัดทำเว็บไซต์เพื่อเปิดเผยโครงการและกระบวนการร้องเรียนไปยังองค์กรอิสระที่ทำได้รวดเร็ว และประชาชนร่วมกันติดตามตรวจสอบ ตามมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งแต่ละองค์กรได้แจ้งต่อคณะกรรมาธิการฯแล้วว่าได้ดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว เช่น การจ่ายเงินเยียวยาและประสิทธิผลในการทำงานของรัฐบาล "เงินกู้ล้านล้านบาทนั้นองค์กรอิสระได้ดูแลและตรวจสอบให้ประชาชนอุ่นใจว่ารัฐบาลมีความตั้งใจว่าจะใช้เงินแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง และผลประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง" นายกล้านรงค์ กล่าว ด้านนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า เวลาลงไปปฏิบัติจริงอาจมีความเสี่ยง และเกิดการรั่วไหล ซึ่งป.ป.ช.มีเครื่องมือในการทำงาน 3 เครื่องมือได้แก่ 1.การเสนอมาตรการต่อรัฐบาล โดยป.ป.ช.ได้ศึกษาแผนงานและโครงการต่างๆแล้วและเตรียมจะเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี อันจะสอดคล้องกับเรื่องการประเมินความเสี่ยงทางนโยบาย 2.ช่วงการระบาดโควิด19 ป.ป.ช.ได้ปักหมุดพื้นที่เสี่ยงโดยอาศัยกลไกของอาสาสมัครรวบรวมข้อมูลและส่งข้อมูลมาให้ป.ป.ช.ดำเนินการ 2.การใช้อำนาจตามาตรา 48 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่สามารถดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็วเพื่อให้เห็นผลเป็นการเฉพาะ "ป.ป.ช.ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล 10 ล้าน เพื่อเป็นกองทุนสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต" นายวรวิทย์ กล่าว นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า การทำหน้าที่ในการใช้จ่ายตรวจสอบเงิน สตง.จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องการใช้เงินให้เกิดความโปร่งใส่ ซึ่งประชาชนอยากเห็นว่าเงินกู้ทุกบาทเกิดความโปร่งใส การใช้จ่ายเงินให้ประโยชน์สูงสุด ตั้งแต่เริ่มมีโควิดนั้นสตง.ได้ส่งเสริมให้แต่ละหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างด้วยความรวดเร็วเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งหลายหน่วยงานมีความกังวลในเรื่องความถูกต้อง แต่สตง.ได้ให้คำปรึกษาให้แก่หน่วยงาน เพื่อให้การดำเนินงานของหน่วยงานทำได้อย่างถูกต้อง ด้านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะการจ่ายเงินเยียวยา เราไม่ได้มุ่งตรวจสอบเพื่อจับผิดเท่านั้นแต่ต้องการแก้ไขปัญหา จึงจะเน้นการหาวิธีที่ทำให้การทำงานของภาครัฐมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม เพื่อเป็นต้นทางของการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ผู้ตรวจการแผ่นดินพร้อมทำงานทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เมื่อถามว่า กองทุนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้รับการจัดสรรจากรัฐบาล แต่ป.ป.ช.ต้องเข้าไปตรวจสอบ เช่นนี้จะเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ นายวรวิทย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อนำเงินไปสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เข้ามาทำงานกับป.ป.ช.และสนับสนุนมาตรการคุ้มครองพยานต่างๆที่ต้องใช้เงิน และคุ้มครองการปฏิบัติงานของป.ป.ช.และเจ้าหน้าที่ และสนับสนุนการทำงานให้สัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมายที่รัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อได้รับงบประมาณแล้ว ยืนยันว่าการทำงานป.ป.ช.จะเป็นไปตามหน้าที่และกฎหมายภายใต้ข้อเท็จจริงและพยานของกฎหมาย เมื่อถามว่า ข้อห่วงใยจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเกี่ยวกับเรื่องการเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนนั้นจะอยู่ในขอบเขตการตรวจสอบองค์กรอิสระหรือไม่ นายประจักษ์ กล่าวว่า พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และ พระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 เป็นเรื่องที่อยู่ในการควบคุมดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งสตง.มีสถานะเป็นผู้สอบบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้น สตง.จะเข้ามาตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วยว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการตรงเป้าหมายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจะมีข้อท้วงติงจากสตง.ต่อไป