เมื่อแก้วที่เคยร้าว พลันถึงเวลาที่ต้องแตกละเอียด แถมยังเป็นการแตกที่ไม่เหลือชิ้นดี เพราะนอกจากจะไม่มีการ “ไว้ไมตรี” ต่อกันแล้ว ยังพบว่า “ศึกใน” ที่เกิดในพรรคพลังประชารัฐ ที่หักชิงเอาเก้าอี้ตำแหน่งหลัก ซึ่งส่อเค้าจะบานปลายเชื่อมโยง พัวพันไปถึงการแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี ในช็อตต่อไป เมื่อ “การปรับครม.” มาถึง ! เมื่อฉายภาพลงไปยังพรรคพลังประชารัฐ จะพบว่าการแบ่งกลุ่มก๊วนการเมืองที่เคยดำเนินมาเมื่อครั้งก่อตั้งพรรคกันใหม่ ๆ ได้ดำรงอยู่มาพักใหญ่ แม้ที่ผ่านมาจะเกิดแรงกดดัน มีการปะทุความขัดแย้ง กันขึ้นมาบ้างแต่สุดท้ายเมื่อ “ผู้มากบารมี” อย่าง “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ ของพรรค ออกมาส่งเสียง กระแอมดังๆ เสียงอึกทึกที่ดังเซ็งแซ่ ก็พลันหยุดลง ทว่าศึกภายในที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด รอบนี้อาจมีความแตกต่าง ไปจากครั้งไหนที่ผ่านมา เพราะการต่อสู้ระหว่าง “กลุ่มสี่กุมาร” อันประกอบด้วย อุตตม สาวนายน รมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าพรรค , สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน และในฐานะเลขาธิการพรรค , สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค และ กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กำลังเพลี่ยงพล้ำ ถึงขั้นจะพ่ายแพ้ เสียเก้าอี้ทั้งในพรรค ไปจนถึงในครม.ให้กับ “กลุ่มสามมิตร” ที่ผนึกกำลังกับ “กลุ่มวิรัช รัตนเศรษฐ” ประธานวิปรัฐบาล และ “สุชาติ ชมกลิ่น” ประธานส.ส.ของพรรค อยู่รอมร่อ ! ยิ่งเมื่อการต่อสู้วัดกำลังกันรอบนี้ ชี้ว่า กลุ่มสี่กุมาร นอกจากจะไม่มีส.ส.ในมือเพื่อ “ต่อรอง” กับฝ่ายตรงข้ามแล้ว ยังต้องไม่ลืมด้วยว่าแท้จริงแล้ว พวกเขากำลัง “วัดกำลัง”กับใคร ?! เมื่อเก้าอี้หัวหน้าพรรค แม้วันนี้ อุตตม จะยังไม่ยอมประกาศ ลาออก ก็กลับมีความเคลื่อนไหวจากส.ส.ภายในพรรคนำหน้าโดย กลุ่มสามมิตร ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรมและสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ออกมาแสดงท่าทีว่าพร้อมที่จะให้การสนับสนุน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นหน้าพรรค รวมทั้งยังโยนชื่อ “อนุชา นาคาศัย” คนของสมศักดิ์ ลงมาจับจองเก้าอี้ เลขาฯพรรค ทั้งที่สนธิรัตน์ เองยังนั่งอยู่ หมายความว่า คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของกลุ่มสี่กุมาร กำลังไปเชื่อมโยงกับการขยับเข้ามา “คุมพรรค” ของ พล.อ.ประวิตร หลังจากที่“ส่งสัญญาณ” กันมาก่อนหน้านี้ แต่ก่อนที่ศึกในจะปะทุ ก่อนที่สนธิรัตน์ และอุตตม จะถูกบีบอย่างหนักให้ทิ้งเก้าอี้ในพรรค พลันก็เกิดปัญหาใหญ่ เมื่อรัฐบาลต้องหันมาทุ่มเทกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปลายเดือนก.พ.เป็นต้นมา เท่ากับว่า วิกฤติโควิด -19 ได้สยบความวุ่นวายความขัดแย้งในพลังประชารัฐให้จำต้องยุติลงชั่วคราว ยิ่งเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ เองลงมากำกับ “แผนการเล่น” ทั้งหมดด้วยตัวเอง เพื่อให้ประเทศไทยฝ่าวิกฤติโควิดไปให้ได้ บรรดานักการเมืองจึงต้องเบรคกันตัวโก่ง ! และแล้วความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐได้กลับมาปะทุรอบใหม่ เมื่อล่าสุด ฝ่ายที่ต้องการบีบอุตตม -สนธิรัตน์ ให้ลุกออกจากตำแหน่งหลักในพรรค เลือกที่จะ “เดินเกมเร็ว” รุนแรงและเด็ดขาด ชนิดที่กลุ่มสี่กุมาร ตั้งตัวไม่ติด เมื่อ “18กรรมการบริหารพรรค” อันมีคนของกลุ่มสามมิตร และปรากฎชื่อ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรฯ รวมแล้วได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐที่มีอยู่ทั้งสิ้น 34 คน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากกรรมการบริหารพรรค อันส่งผลให้พลังประชารัฐจะต้องเรียกประชุมใหญ่ เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ภายใน 45 วัน แต่ด้วยวันนี้การเมืองแทบทุกพรรคไม่อาจขยับ เพราะติดล็อกจากการประกาศใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 การเรียกประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐ จึงยังไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถึงกระนั้นย่อมไม่ได้หมายความว่า เกมกดดันบีบ “อุตตม-สนธิรัตน์” จะจบลงเพียงแค่นี้ เพราะเป้าหมายใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าคือการบี้ให้ “กลุ่มสี่กุมาร” ทิ้งทุกเก้าอี้ในครม. ตามมาในอีกไม่นาน ทั้ง รมว.คลัง- รมว.พลังงาน -รมว.อุดมศึกษาฯ หรือแม้แต่กอบศักดิ์ เองก็ต้องคืนเก้าอี้รองเลขาธิการนายกฯ ด้วยเช่นกัน หากถามว่าต้นสายปลายเหตุอะไรที่ทำให้ “กลุ่มสี่กุมาร” ภายใต้การดูแลของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ต้องมาเผชิญหน้ากับแรงกดดัน และปฏิบัติการ “ไล่ไม่เลิก”จากส.ส.บางกลุ่มภายในพรรคเช่นนี้ ก็ต้องมองย้อนกลับไปถึงวันตั้งครม. “ประยุทธ์2/1” ว่าในคราวนั้น “กลุ่มสามมิตร” ของสมศักดิ์ และสุริยะซึ่งสามารถกวาดส.ส.ในสังกัดเข้าสภาฯมาได้ไม่น้อย แต่กลับไม่ได้รับ “บำเหน็จ” ก้อนใหญ่ เมื่อ สมศักดิ์ ต้องจำใจไปนั่งเป็น “รมว.ยุติธรรม” กระทรวงเกรดบี ส่วนกระทรวงที่หมายตาอย่าง “กระทรวงพลังงาน” กลับหลุดลอยจากมือ ไปอยู่กับ สนธิรัตน์ กลุ่มสี่กุมาร ได้เก้าอี้รัฐมนตรีไปถึง 3ที่นั่งในครม. พ่วงด้วยเก้าอี้หัวหน้าพรรคและเลขาฯพรรค จึงทำให้กลุ่มสามมิตรมองกลับมาที่ตัวเองแล้วอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อต้องยอมให้พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งครม.หลังเลือกตั้งให้เสร็จสิ้น โดยเร็ว แม้จะต้องกลืนเลือดก็ต้องยอม จึงเท่ากับว่าแท้จริงแล้วความบาดหมาง เกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ต้นทาง และเมื่ออยู่ร่วมกันต่อมา ก็ยังไม่อาจหลอมรวมกันได้ระหว่าง “กลุ่มสี่กุมาร” ที่แต่ไม่อาจสร้างสัมพันธ์กับส.ส.ในพรรคได้ กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทั้งหัวหน้าและเลขาฯพรรคไม่เคย “ดูแล” ส.ส.ในพรรคว่าจะอยู่อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อยามที่ส.ส.ต้องลงพื้นที่ ไปช่วยพี่น้องประชาชนในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด ข้อความทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ภายในกลุ่มส.ส.พลังประชารัฐ หลุดออกมาถึงสื่อว่าส.ส.ในพรรคคิดอย่างไรกับหัวหน้าและเลขาฯพรรค สิ่งที่หลายคนกำลังจับตาว่าจุดจบของความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐจะจบลงอย่างไรนั้นดูจะไปไกลเกินกว่า ประเด็นที่ว่า อุตตม หลุดจากเก้าอี้หัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ พ้นจากเลขาฯ หากแต่มีการมองถึงขั้นที่ว่า นี่คือ “ฉากจบ” ของกลุ่มสี่กุมาร ทั้งในพรรคพลังประชารัฐ ไปจนถึงโอกาสที่จะได้กลับไปทำหน้าที่ “ดรีมทีมเศรษฐกิจ”อีกต่อไป แล้วด้วยซ้ำ ! ไม่ว่าจะจบสวยหรือไม่ ทางลงจากถนนสายการเมือง และจากเก้าอี้รัฐมนตรี ของกลุ่มสี่กุมารจะซอฟต์แลนดิ้ง หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อ ทุกอย่างจบลง ตรงที่ถูก “ฝ่ายการเมือง” ตัวจริง เสียงจริง ดึงอำนาจคืน “ทางเดิน”จึงแทบไม่เหลือ อย่างที่เห็น เมื่อชื่อหัวหน้าพรรคคนใหม่ คือ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร “พี่ใหญ่” แห่ง “3ป.บูรพาพยัคฆ์” เตรียมจะลงมาเล่นเอง อุตตม ก็จะกลายเป็นเพียง “หิ่งห้อย” ตัวน้อยๆที่กำลังท้าทายกำลังแสงสปอร์ตไลต์ ทั้งอำนาจ บารมี และชื่อชั้นของพล.อ.ประวิตร ใครจะหาญกล้าขึ้นมาเทียบ เมื่อ วันนี้การดำรงอยู่ของสนธิรัตน์ ทั้งบนเก้าอี้รมว.พลังงานและเลขาฯพรรค ก็กลับมีชื่อ “แคนดิเดต” ว่าใครสมควรที่จะได้นั่งรมว.พลังงานคนใหม่ พร้อมๆกับการที่มีชื่อ “ว่าที่เลขาฯคนใหม่” ทั้ง อนุชา และ สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ที่อยู่คนละปีกกับกลุ่มสี่กุมาร กลายเป็น “แคนดิเดต” ชนิดที่ไม่เกรงใจ สนธิรัตน์ และที่เจ็บปวดไปกว่านั้น คือการที่วันนี้ กระแสข่าวที่กำลังสะพัด จนกลายเป็นการตอกย้ำว่า “สี่กุมาร” ต้องไปทั้งแก๊ง คือการเปิดชื่อ “ขุนคลังคนใหม่” ชุดดรีมทีมเศรษฐกิจทีมใหม่ ที่เตรียมแต่งตัวจะมานั่งทำงานกับพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งนายแบงค์ ไปจนถึงอดีตขุนคลัง รัฐบาลก่อนหน้านี้ ประหนึ่งว่า คนที่นั่งอยู่วันนี้ หมดความหมาย !!