เมื่อข่าวคราวความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐได้กลบร่องรอยและบทบาทของพรรคฝ่ายค้านจนเกือบมิด เพราะแม้แต่ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตลอด 5 วันที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน ทั้ง 3 ฉบับ ก็ยังกลายเป็นว่า กลุ่มก๊วนการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐต่างพากันเปิดศึก ใช้ห้องทำงานภายในสภาฯเพื่อประลองกำลัง จนทำให้ พื้นที่ข่าวการประชุมสภาฯตลอดทั้ง 5 วัน “พรรคฝ่ายค้าน” กลับถูกชิงไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะการที่ผุดข่าวใหญ่ ว่า “อดีตคนใกล้ชิด” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ตระเตรียมการออกมาตั้งพรรคการเมืองเพื่อขับเคลื่อนงานและแนวทาง ทางการเมืองกันเอง ทั้งที่ วันนี้ยังมี “พรรคเพื่อไทย” ยืนเด่นทำหน้าที่เป็น “พรรคแกนนำฝ่ายค้าน” และยังเป็นพรรคการเมืองที่มีส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่ง ในสภาฯ แต่กลับมี “แม่ทัพนายกอง” กำลังพากัน “แยกตัว”ออกมาตั้งป้อมค่ายกันใหม่เสียอย่างนั้น ! “สี่ขุนพล” ที่ถูกจับตา อย่างมาก คือ “เฮียเพ้ง” พงศ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล ,“หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริยเดช ,“หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน ให้กับ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต่างนัดหมายพบปะและร่วมพูดคุยกันถึง “อนาคตทางการเมือง” จนทำให้เกิดคำถามตามมาว่า ถ้าอย่างนั้น พรรคเพื่อไทย จะกลายเป็นพรรคที่ถูกให้ทำเล็กลงเพื่อความอยู่รอดในสนามเลือกตั้งต่อไปในรอบหน้าหรือไม่ อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวของ 4 อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ทำงานใกล้ชิด อีกทั้งยังเป็นคนที่อดีตนายกฯทักษิณ ไว้ใจค่อนข้างมาก แต่กลับแยกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทย พรรคการเมืองซึ่งนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่สาม จากพรรคไทยรักไทย นั้นเป็นเพราะภายในพรรคเพื่อไทย เต็มไปด้วยปัญหาและความวุ่นวาย จนไม่อาจอยู่ร่วมกันต่อไปใช่หรือไม่ ระหว่างกลุ่มของหัวหน้าพรรค อย่างสมพงษ์ , กลุ่มร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และกลุ่มของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ ของพรรค จนกลายเป็นปัญหาที่ซ้ำเติม ความเข้มแข็งของพรรคเพื่อไทย ในวันที่ “ส.ส.แถวหนึ่ง” ไม่สามารถฝ่าด่านเข้าไปนั่งในสภาฯได้ หรือเป็นเพราะ 4 อดีตแกนนำไทยรักไทย ประเมินทิศทางลมการเมืองแล้วว่า การอยู่ต่อภายในพรรคเพื่อไทย ย่อมเป็นการ “ตัดโอกาส” ที่จะได้แสดงบทบาทและความโดดเด่น เพื่อเป็น “ทางเลือก” ให้กับสังคม เมื่อ “โอกาส” มาถึง นอกจากนี้ ยังมีการประเมินกันไปไกลว่า เพราะวันนี้ อดีตนายกฯทักษิณ เลือกที่จะไม่เดินหน้าชนกับ “รัฐบาล” ของ “พี่น้อง 3ป.” ที่มี “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยืนอยู่หัวแถว อีกต่อไป เพราะยิ่งนานวัน หนทางข้างหน้า แทบไม่เจอ “ชัยชนะ” ที่สำคัญไปกว่านั้น คือการที่วันนี้ อดีตนายกฯทักษิณ “หมดห่วง” เพราะคนในครอบครัว “ชินวัตร” ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครต้อง “ติดบ่วงคดี” ในประเทศไทยอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ “พานทองแท้ ชินวัตร” บุตรชาย พ้นจากคดีฟอกเงินของแบงค์กรุงไทย เมื่ออัยการสูงสุด มีคำสั่งชี้ขาดไม่ยื่นอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พานทองแท้ คดีร่วมกันกันฟอกเงินทุจริตเงินปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย จำนวน 10 ล้านบาท ยิ่งหมายความว่า การลงมาต่อสู้ทางการเมืองเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง จึงไม่จำเป็นสำหรับอดีตนายกฯทักษิณ อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่ออำนาจและบารมีของ “3ป.” ยังมีแนวโน้มว่ายังคงยืนระยะ ยาวนานด้วยทุกช่องทางที่เปิดเอาไว้ให้ตั้งแต่ต้น !