ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย ขณะที่เหตุการณ์จลาจลกำลังขยายตัวไปตามเมืองต่างๆในสหรัฐฯ จนบางเมืองต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน เหตุเกิดขึ้นเพราะตำรวจผิวขาวในเมืองมินิอาโปลิส เจตนาฆ่าผู้ต้องสงสัยชาวผิวดำ อาฟริกันอเมริกัน ด้วยการเอาเข่ากดคอจนขาดใจตาย เหตุดังกล่าวเป็นการไปกระตุ้นความเจ็บแค้นที่คนผิวสีถูกกระทำย่ำยี จากคนผิวขาวที่เป็นพวกเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ จึงลุกฮือขึ้นระบายความคลั่งแค้น ปล้นสะดมและเผาอาคารร้านค้า แถมยังถูกกระตุ้นให้ไฟแห่งความแค้นยิ่งลุกโชนขึ้นไปอีก ด้วยถ้อยคำข่มขู่ของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ให้ทหารเข้ามาควบคุม หรือการใช้ปืนยิงใส่ผู้ก่อการจราจลหากยังไม่ยุติ ขณะที่การจลาจลกลับขยายตัว ด้วยความโกรธแค้น เจ็บซ้ำอันสะสมมาเป็นเวลานาน ขนาดมีการประท้วงที่ทำเนียบขาว จนหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำทำเนียบขาวต้องพาทรัมป์และครอบครัวไปหลบในห้องนิรภัยของทำเนียบที่ไม่ได้เปิดใช้มานานมากแล้ว ตอนนี้ก็มีการคาดการณ์กันว่าคงต้องมีการใช้กำลังป้องกันประเทศ National Guard นั่นคือกำลังทหารออกมาจัดการกับฝูงชน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่านั่นคือการประกาศสงครามกับอเมริกันชน (คนผิวสี) นั่นคือการเปิดศึกภายใน แต่สหรัฐฯโดยผู้นำอย่างประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการเมืองหรือเศรษฐกิจในระดับรัฐบาลมาก่อน ก็ดำเนินการเปิดศึกภายนอก โดยการบีบให้จีนออกมาชี้แจงเรื่องการระบาดของโควิด-19 ที่อู่ฮั่น และการกดดันเรื่องสถานภาพของฮ่องกง ในประเด็นเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่อู่ฮั่น นอกจากจะโทษจีนแล้วยังโทษ WHO องค์การด้านสุขอนามัยโลก ซึ่งเป็นหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติ โดยสหรัฐฯได้ประกาศถอนตัวออกจากองค์การนี้ ในกรณีที่เกี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 กำลังจะใช้เป็นเหตุในการเปิดศึกการค้ากับจีน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นภาษี การบีบธุรกิจจีนในตลาดหุ้น การกดดันหัวเหว่ย และการขอให้แคนาดาส่งตัว CFO ลูกสาวประธานหัวเหว่ยมาดำเนินคดีในสหรัฐฯโทษฐานละเมิดกฎหมายแซงซั่นของสหรัฐฯ ที่ห้ามการค้าขายกับอิหร่าน และการขโมยเทคโนโลยี แต่หากเราจะพิจารณาในกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เชื้อโรคหลุดออกมาจากห้องแลปในอู่ฮั่น ที่สหรัฐฯต้องการให้จีนยินยอมให้สหรัฐฯ และทีมงานนานาชาติ เข้าไปตรวจสอบ เพื่อชี้นำไปสู่การกล่าวหาว่าจีนได้มีการทำห้องปฏิบัติการค้นคว้าเกี่ยวกับโรคระบาดร้ายแรง ซึ่งอาจมีเจตนาเพื่อทำสงครามเชื้อโรคก็ได้ และการแพร่ระบาดของเชื้อโรคร้ายในสหรัฐอเมริกาที่ทำให้มีผู้เจ็บป่วยจำนวนมาก ผู้เสียชีวิตเกินแสน ต้นเหตุมาจากจีน โดยมีเจตนาปลุกระดมความเกลียดชังในหมู่คนอเมริกัน โดยเฉพาะคนผิวขาวที่เหยียดผิว อันจะทำให้เกิดแรงสนับสนุนหากสหรัฐฯจะดำเนินการรุนแรงกับจีน ทว่ารัฐบาลสหรัฐฯไม่เคยเปิดเผยข้อมูลถึงเครือข่ายของห้องปฏิบัติการของตนที่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมทั้งการสนับสนุนห้องปฏิบัติการในอู่ฮั่นเมื่อแรกเริ่มก่อตั้ง ที่สำคัญวอชิงตันต่อต้านมาโดยตลอดเมื่อมีการเรียกร้องให้ขบวนการเปิดเผยข้อมูลในระดับนานาชาติเพื่อความโปร่งใส เพื่อเป็นกลไกในการป้องกันการใช้อาวุธชีวภาพอันจะเป็นอันตรายอย่างมากต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในวงกว้าง เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ให้สัมภาษณ์สื่อว่า ในขณะที่จีนมีห้องปฏิบัติการในระดับ 4 เพียง 2 แห่ง แต่สหรัฐฯมีถึง 13 แห่ง และยังมีห้องปฏิบัติการในระดับ 3 อีก 1,495 แห่ง โดยยังไม่นับรวมห้องแล็ปที่ไปจัดตั้งในดินแดนของอดีตสหภาพโซเวียต อย่างยูเครน จอร์เจีย และคาซัคสถาน และอีกหลายแห่งทั่วโลก การปกปิดข้อมูลและการปิดกั้นความพยายามในการจัดตั้งกลไกที่ให้มีการตรวจสอบห้องปฏิบัติการทางชีวภาพ อันจะเป็นแนวทางในการป้องกันสงครามชีวภาพของสหรัฐฯ ทำให้น่าสงสัยต่อพฤติกรรมของสหรัฐฯ ในการเตรียมการทำสงครามชีวภาพในอนาคต ในทางตรงข้ามสหรัฐฯกลับกดดันให้จีนเปิดเผยการแพร่ระบาด โดยการจัดให้มีกลไกระหว่างประเทศไปตรวจสอบจีน และพยายามชี้เป้าว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นไปอย่างมีเงื่อนงำ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความปลอดภัยทางชีวภาพหลายท่านให้ข้อสังเกตว่า สหรัฐฯมีห้องปฏิบัติการด้านไวรัส และแบคทีเรีย เป็นจำนวนหลายสิบแห่งในกลุ่มประเทศอดีตโซเวียตที่อยู่ใกล้ชิดกับชายแดนรัสเซียและจีน ตั้งแต่ปี 2001 จีนและอีกหลายประเทศพยายามผลักดันให้มีกลไกตรวจสอบในระดับนานาชาติที่โปร่งใสและเป็นกลาง ภายในกรอบของข้อตกลงในการห้ามและป้องกันการผลิต การสะสม อาวุธเคมี-ชีวภาพ เพื่อป้องกันเหตุทั้งเจตนาและไม่เจตนาของการแพร่ระบาดและการทำลายล้างที่อาจเกิดขึ้นในโลกใบนี้ แต่สหรัฐฯก็ยังตั้งเงื่อนไขและคัดค้านข้อเสนอนี้มากว่า 20 ปี นี่ก็เป็นตัวชีวัด “การเป็นผู้ถูกยกเว้น” ของอเมริกัน “American Exceptionlism” อย่างไรก็ตามการจัดทำห้องปฏิบัติการที่จะวิจัย ศึกษา ค้นคว้าเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเชื้อโรค เพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคนั้นเป็นที่ยอมรับได้ และได้มีการดำเนินการในห้องปฏิบัติการของพลเรือนเป็นจำนวนมาก ด้วยมาตรการเข้มงวดรักษาความปลอดภัย แต่ความคลุมเครือของห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับตัวนำเชื้อโรค และเชื้อโรคที่สหรัฐฯสนับสนุนให้จัดตั้งในดินแดนอดีตสหภาพโซเวียต ทำให้ตั้งข้อสงสัยได้ว่าสหรัฐฯ อาจมีเจตนาเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาอาวุธชีวภาพก็ได้ ตราบใดที่สหรัฐฯยังไม่ยอมให้มีกลไกระหว่างประเทศในการตรวจสอบ ที่โปร่งใส และทำไมต้องไปตั้งใกล้ชายแดนจีนและรัสเซีย เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี้ เวปของกองทัพประชาชนเพื่อการปลดปล่อยภาคภาษาอังกฤษได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่สหรัฐฯต้องเปิดเผยต่อชาวโลก 10 ข้อ และหนึ่งในนั้นคือ การพัฒนาสายพันธุ์หวัดนกที่เคยแพร่ระบาดมาก่อนหน้านี้ ซึ่งได้มีการเปิดเผยโดยนิตยสารทางวิทยาศาสตร์ “The Academic Journal Of The American Association For Advancment Of Science (AAAS)”ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2019 นิตยสารดังกล่าวรายงานว่า ในปี 2018 รัฐบาลสหรัฐฯ แอบอนุมัติการทดลองเชื้อโรคหวัดนก H5N1ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลถือว่าเป็นอันตรายและสามารถแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คนได้ อีกคำถามคือการปิดตัวของห้องปฏิบัติการที่ดำเนินการโดย United States Army Medical Research Institute Of Infectious Diseases (USAMRIID) ที่ค่ายดีทริค แมรี่แลนด์ ก่อนเดือนเมษายน 2020 ตามรายงานของนิวยอร์กไทม์ ที่อ้างว่ามีการทำวิจัยเกี่ยวกับเชื้ออิโบลา ต่อมาหน่วยควบคุมของสหรัฐฯ CDC ได้ออกมารับรองการเปิดของห้องปฏิบัติการนี้ในเดือนเมษายน แต่ไม่มีการชี้แจงถึงการปิดที่เกิดก่อนนี้ ยังมีอีกหลายกรณีที่สหรัฐฯไม่เคยชี้แจงหรือเปิดเผยการวิจัยต่างๆ โดยเฉพาะที่ดำเนินการโดยหน่วยทหาร และหากมันเกิดการรั่วไหล แพร่ระบาดจริงสหรัฐฯจะป้องกันอย่างไร ในเมื่อยังป้องกันโควิด-19 ไม่ได้ ด้วยประเด็นต่างๆที่กล่าวมาแล้ว ทั้งในบทความนี้ และในบทความก่อนๆเกี่ยวกับการยกเลิกสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์และสัญญาที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นประเด็นที่ชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯมีการเตรียมความพร้อมที่จะก่อศึกษาภายนอก แต่บังเอิญมาเกิดศึกภายในเสียก่อน ซึ่งถ้าศึกภายในสงบคงเริ่มกระบวนการไปสู่ศึกภายนอกต่อไป