นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในดำเนินโครงการ “ธงฟ้าประชารัฐ” โดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพประชาชนผู้มีรายได้น้อย ในการจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ต่อการครองชีพราคาลดพิเศษร้อยละ 15-20 จำหน่ายในร้านค้าปลีกแบบถาวรได้อย่างทั่วถึง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน และเป็นการเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้ร้านค้าปลีก
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จึงได้ดำเนินโครงการ“ธงฟ้าประชารัฐ” ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการพัฒนาชุมชน สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทยเทรดดิ้ง จำกัด บริษัท คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดยมีสินค้าเข้าร่วมโครงการฯ ในเบื้องต้น จำนวน 18 สินค้า 48 รายการ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก แชมพู กระดาษชำระ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง เป็นต้น โดยกำหนดเป้าหมายในระยะแรกประมาณ 6,500 แห่ง ซึ่งการดำเนินการในระยะที่ผ่านมา ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคทั้ง 5 รายได้มีการติดต่อร้านค้าปลีก และมีผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว ประมาณ 700 แห่งทั่วประเทศ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ ได้กำหนดแนวทางการขยายจำนวนร้านค้าปลีกให้เพิ่มมากขึ้น โดยให้ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่เข้าร่วมโครงการจำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าส่งค้าปลีกรายใหญ่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงกับร้านค้าปลีกในเครือข่ายซึ่งมีจำนวนมาก ในวันนี้จึงได้เชิญสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย ผู้ประกอบการร้านค้าส่งค้าปลีกรายใหญ่ในจังหวัดต่างๆ จำนวน 8 แห่ง ร้านซุปเปอร์ชีป จังหวัดภูเก็ต, ร้านไชยแสง จังหวัดสิงห์บุรี, ร้านตั้งงี่สุน จังหวัดอุดรธานี, ร้านแสงทอง จังหวัดระยอง, ร้านส.ล.โฮเซลล์ จังหวัดนครสวรรค์, ร้านธนวิริยะ จังหวัดเชียงราย,ร้านเอกภาพซุปเปอร์ จังหวัดปราจีนบุรี, ร้านยงสงวน จังหวัดอุบลราชธานี และผู้ประกอบการร้านค้าปลีกชุมชนของ กรมการพัฒนาชุมชน และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ รวมทั้งผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ 5 ราย เข้าร่วมงานเพื่อร่วมมือกันในการขยายจำนวนร้าน “ธงฟ้าประชารัฐ” ให้เพิ่มมากขึ้นเป็นไปตามเป้าหมาย ประมาณ 20,000 แห่ง ภายในปีนี้ต่อไป