ในขณะที่ “ทั่วโลก” กำลังเฝ้าจับตารอคอยด้วยความใจจดใจจ่อต่อการพัฒนา “วัคซีน” ในฐานะเวชภัณฑ์ชนิดหนึ่งสำหรับคุ้มกันโรค โดยเฉพาะโรคโควิด-19 หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่กำลังอาละวาด แพร่ระบาด ไปในประเทศต่างๆ แทบจะทั่วมุมโลก ณ เวลานี้ และหลายๆ ประเทศกำลังเร่งพัฒนาวัคซีนกันจ้าละหวั่น ถึงขนาดเปิดศึกทางการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อแย่งชิงวัคซีนให้ได้มาในประเทศของตน เป็นลอตแรก และปริมาณจำนวนมาก กันเลยก็มี ยกตัวอย่าง ทางการฝรั่งเศส กับทางการสหรัฐฯ ที่เคยมีวิวาทะกันไปก่อนหน้า แต่ปรากฏว่า ชาวอเมริกันชน พลเมืองของประเทศสหรัฐฯ จำนวนไม่น้อยกลับไม่ให้ความสนใจกับวัคซีนที่ว่า อย่างไม่น่าเชื่อ ทว่า ก็ต้องเชื่อ เพราะสำนักสำรวจความคิดเห็น หรือการจัดทำโพลล์ของสำนักต่างๆ สอบถามจากปากคำของชาวอเมริกันหลายครั้งหลายครา โดยการสำรวจความคิดเห็นของสถาบันวิจัย “ยูกอฟ” ในอังกฤษ เข้าไปสอบถามความคิดเห็นประชาชนคนอเมริกันครั้งล่าสุด ก็ได้รับคำตอบว่า มีเพียงร้อยละ 55 เท่านั้น ที่บอกว่า พวกเขาจะเข้ารับวัคซีนโควิดฯ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตนเอง ในการเผชิญหน้ากับไวรัสร้ายชนิดนี้ หากว่า วัคซีนถูกจัดสรรจ่ายจำแนกมาถึงมือพวกเขา คือ สามารถเข้าถึงวัคซีนที่ว่านั้นได้นั่นเอง ก็สร้างความประหลาดใจให้ไม่น้อย เพราะตัวเลขน่าจะมีจำนวนมากกว่านี้แบบท่วมท้น เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่าง ที่ต้องการรับวัคซีนป้องกันโรค ท่ามกลางสถานการณ์ที่แพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสร้าย ณ เวลานี้ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ยังไม่แน่ใจว่า จะรับหรือไม่รับวัคซีน มีจำนวนร้อยละ 26 แต่ที่สร้างความฉงนสนเท่ห์ให้แก่สำนักโพลล์ผู้สำรวจ ก็เห็นจะเป็นกลุ่มตัวอย่างสุดท้าย ที่ตอบว่า ไม่สนใจที่จะเข้ารับวัคซีน มีจำนนวนมากถึงร้อยละ 20 หรือคิดเป็น 1 ใน 5 อย่างไรก็ดี ตัวเลขของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ให้ความสนใจต่อวัคซีนข้างต้น ก็น้อยกว่าการสำรวจโพลล์ครั้งก่อน ที่สำนักข่าวรอยเตอร์ส ร่วมกับอิปซอส ที่ได้ผลออกมาว่า กลุ่มตัวอย่างที่ไม่สนใจที่จะรับวัคซีน มีจำนวนมากถึงร้อยละ 25 หรือคิดเป็น 1 ใน 4 เลยทีเดียว นอกจากพบถึงความใส่ใจและไม่ใส่ใจต่อวัคซีนดังกล่าวแล้ว ในการสำรวจความคิดเห็น ก็ยังได้พบถึงความเชื่อมั่นของชาวอเมริกันที่มีต่อวัคซีนที่นานาประเทศกำลังเฝ้าจับตารอคอยด้วยใจจดจ่อด้วยว่า จำนวนมากกว่าร้อยละ 40 ที่ไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของวัคซีนที่บรรดบริษัทต่างๆ กำลังเร่งพัฒนาแข่งกันในเวลานี้สักเท่าไหร่ โดยจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถามดังกล่าว ถึงขนาดระบุเลยว่า ไม่แน่ใจว่า ระหว่างวัคซีนกับเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไหนจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของพวกเขามากกว่า เผลอๆ วัคซีนที่กำลังเร่งพัฒนาที่ว่า อาจจะเป็นอันตรายกว่าด้วยซ้ำ ด้วยประการฉะนี้ การสำรวจความคิดเห็นอเมริกันชนจึงได้รับคำตอบจากกลุ่มตัวอย่างอีกว่า ร้อยละ 36 มีความสนใจไม่มากนักต่อการรับวัคซีนหากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาการันตีรับรองเรื่องความปลอดภัยของวัคซีน ส่วนผู้ที่มั่นใจตามการรับประกันของประธานาธิบดีทรัมป์ ปรากฏว่า มีเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น ที่ตอบว่า สนใจรับวัคซีนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้มีคำถามตามมาว่า จะให้ใคร หรือสถาบันไหน ให้คำรับรอง จึงจะมั่นใจในความปลอดภัยวัคซีนได้ ก็ได้รับคำตอบว่า ต้องเป็นองค์การอาหารและยา หรือเอฟดีเอ ให้การรับรอง โดยผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยวัคซีนดังกล่าวมาเป็นอย่างดีแล้ว จึงจะเชื่อถือ เชื่อมั่น ให้ฉีดเข้าไปในร่างกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันจากไวรัสร้ายกันได้ ก็ถือเป็นบทเรียนตัวอย่าง สำหรับสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติจากโรคร้ายที่หลายๆประเทศกำลังเผชิญหน้า ณ เวลานี้