“สนธิรัตน์” ยอมรับไฟฟ้าไทยล้นความต้องการ เร่งหาทางแก้ปัญหาด้วยการส่งออก สร้างเครือข่ายอาเซียน ส่วน SPP หากต้องเลื่อนต้องเจรจาให้เหมาะสม ด้านการนำเข้าแอลเอ็นจีชี้ไม่ใช่ตลาดเสรีต้องขออนุญาตนำเข้าจากรัฐเพื่อคุมความมั่นคงด้านพลังงาน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี )หลังจากที่ส่งเสริมให้มีการแข่งขัน และออกใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper)รายใหม่ เพิ่มขึ้น รวมถึง 5 รายแล้วว่า ตลาดก๊าซฯจะยังไม่ใช่ตลาดเสรี การอนุญาตนำเข้านั้นจะไม่ใช่ปริมาณตามที่เอกชนเสนอนำเข้าขั้นสูงสุด โดยปริมาณนำเข้าต้องดูถึงความมั่นคง คุณภาพก๊าซฯ และที่สำคัญต้องดูถึงต้นทุนค่าไฟฟ้าให้ต่ำที่สุดเป็นหลักต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งในขณะนี้กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ บมจ.ปตท.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กำลังดูปัญหาอุปสรรค หลัง กฟผ.ได้นำเข้ามาแอลเอ็นจี 2 ลำเรือเข้ามาทดสอบระบบ การให้บริการแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access ) ซึ่งรับทราบเบื้องต้น ปัญหาด้านคุณภาพก๊าซฯที่ใช้ร่วมกันในระบบท่อ ก็ต้องหาแนวทางแก้ไขปัญหาก่อนที่จะอนุญาตนำเข้าในรอบต่อไป ส่วนกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอขอให้เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี จากกรณีที่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าต้องร่วมกันแบกรับภาระค่าไฟฟ้าจากการที่รัฐกำหนดผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการว่า ยอมรับว่าการผลิตไฟฟ้าปัจจุบันเกินความต้องการเพราะการเติบโตของภาคเศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งได้ติดตามอย่างใกล้ชิดและเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเฉพาะการผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ตามแนวทางการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี)และเทคโนโลยีดังกล่าวที่กำลังมาเร็วขึ้นก็จะมีส่วนสำคัญต่อการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญโดยเมื่อถึงเวลานั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วหรือ Disruptive Technology จะทำให้การใช้ไฟโตก้าวกระโดดและหากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวถึงเวลานั้นไฟฟ้าที่มากขณะนี้อาจไม่เพียงพอก็เป็นไปได้ โดยขณะนี้กำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศนับว่ามีเกินความต้องการใช้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่การเติบโตของภาคเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งกระทรวงได้ติดตามอย่างใกล้ชิดและพร้อมจะเร่งแก้ไขปัญหา โดยที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ พ.ศ.2561-2580 (PDP2018) ต่อเนื่องเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆด้วย ซึ่งในส่วนของโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการกำลังการผลิตไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม “ในระยะสั้นหากมีการพิจารณาแล้วว่าจำเป็นต้องเจรจาเลื่อนโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ SPP ออกไปเพื่อบริหารไฟฟ้าให้สมดุลกับความต้องการก็ทำได้ โดยสามารถเลื่อนเข้า เลื่อนออกให้เหมาะสมได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องไปดู” สำหรับมาตรการค่าไฟฟรีไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือนและสวนลดค่าไฟฟ้า 3 เดือน(มี.ค.-พ.ค.63) เมื่อเทียบกับเดือนฐานกุมภาพันธ์ เพื่อลดผลกระทบโควิด-19 ซึ่งจะสิ้นสุดเดือนพ.ค.นั้น ยังไม่ได้มีการหารือว่าจะต่ออายุมาตรการดังกล่าวแต่อย่างใดเนื่องจากเห็นว่ามาตรการคลายล็อกดาวน์ได้ผ่อนคลายมากขึ้นดังนั้นผลกระทบจะไม่มากเช่นที่ผ่านมาที่คนส่วนใหญ่ต้องทำงานที่บ้าน(Work From Home) เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามในเดือนมิถุนายน ยังมีมาตรการลดค่าไฟไฟฟ้าร้อยละ 3 ที่ยังคงช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนได้อีกส่วนหนึ่ง