เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวชี้แจงนโยบายเกษตรปลอดภัย ภาษียาสูบ การบริหารจัดการน้ำ การดูแลผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข และเรื่องหน้ากากอนามัย ว่า รัฐบาลเน้นนโยบายเกษตรปลอดภัยและให้ความสำคัญต่อการกำจัดสารพิษ โดยยืนยันตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพราะเป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่ให้เป็นเกษตรปลอดภัย โดยจะหาวัสดุชนิดอื่นๆ มาทดแทนให้กับเกษตรกรด้วยเช่นกัน กรณีร้องเรียนเกี่ยวกับมาตรฐานการนำเข้าสินค้าเกษตรนั้น จะต้องมีการศึกษาในรายละเอียด สิ่งสำคัญคือการสร้างความเข้าใจกับประชาชน ส่วนกรณีภาษียาสูบว่า เข้าใจถึงปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบอาชีพปลูกยาสูบ ซึ่งได้ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชทดแทนการปลูกยาสูบ สำหรับปัญหาที่พบในขณะนี้คือ การนำยาสูบที่จะต้องขายให้กับบริษัทผลิตบุหรี่ในประเทศ แต่กลับมีคนนำยาสูบไปทำเป็นยาเส้นขายเป็นบุหรี่ ก็ได้ให้คณะกรรมการศึกษาหาแนวทางแก้ไขเรื่องนี้อยู่ นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำ โดยได้จัดตั้งหน่วยงาน สทนช. ขึ้นใหม่เพื่อดูแลบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศ 13 ลุ่มน้ำในภาพรวมทั้งการจัดทำแหล่งกักเก็บน้ำ น้ำบาดาล แยกประเภทการใช้น้ำ นำเพื่อเกษตรกร รัฐบาลนี้ทำเรื่องน้ำมากกว่าที่ผ่านมา ก่อนที่จะเข้ามาถึง 4 เท่า และยังจะทำให้มากขึ้นอีกเพราะอยู่ในแผนงานที่จะต้องขับเคลื่อน โดยจะใช้ทั้งเงินเยียวยาและเงินงบประมาณที่มีอยู่แล้ว นายกฯกล่าวว่า จากการที่พบปะกับชาวนาเกษตรกรที่แท้จริงมาแล้ว ทราบดีถึงปัญหาความเดือดร้อน และเกษตรกรพอใจการทำงานของรัฐบาลที่คิด จัดทำแผน จัดระเบียบการใช้งบประมาณ การปรับเปลี่ยนงบประมาณ นำงบกลางไปเสริมให้ รวมทั้งโครงการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ยังไม่แล้วเสร็จ รัฐบาลก็นำมาดำเนินการต่อหลายโครงการ ล้วนอยู่ในแผนทั้งหมด แต่หากฝนไม่ตกก็จะเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ต้องคิดหาวิธีการอย่างอื่น เช่น การเปลี่ยนอาชีพ การปลูกพืชน้ำน้อย การตลาด สิ่งสำคัญในการทำเรื่องแหล่งน้ำ คือ ประชาพิจารณ์ในที่ดินของเอกชน ประชาชน ที่ไม่ได้อยากให้หรือพื้นที่ป่าสมบูรณ์ก็ไม่สามารถทำได้ ส่วนที่ทำได้ก็อาจไม่มีน้ำ แต่รัฐบาลจะพยายาม และพร้อมขอรับข้อสังเกตไว้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ด้านสาธารณสุขนั้น รัฐบาลมีงบประมาณสาธารณสุข 45,000 ล้านบาท ที่มีการใช้จ่ายไปจำนวนหนึ่งในการดูแลผู้ปฏิบัติงานที่หน้างานเป็นเบี้ยเลี้ยง ค่าตอบแทนพิเศษ ในช่วงการปฏิบัติหน้าที่ครอบคลุมคนทำงานทั้ง 3 ส่วน คือ ข้าราชการ ลูกจ้างพนักงาน อาสาสมัคร ซึ่งต่างมีกฎหมายระเบียบการที่แตกต่างกัน รัฐบาลต้องให้ความเป็นธรรมและเคารพกฎหมายด้วย