เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นเรื่องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี จากกรณีที่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าต้องร่วมกันแบกรับภาระค่าไฟฟ้าที่รัฐได้ทำสัญญาผูกขาดไว้กับเอกชนต่างๆ โดยนายศรีสุวรรณ เห็นว่าการที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ไปกำหนดการผลิตไฟฟ้าเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด คือต้องผลิต 45,000 เมกะวัตต์ ขณะที่ปริมาณการใช้จริงอยู่ที่ 26,000 - 27,000 เมกะวัตต์เท่านั้น และจากที่มียอดการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 ใช้เพียง 28,000 เมกะวัตต์ ดังนั้นจึงมีไฟฟ้าที่เหลือหรือไฟฟ้าสำรองมากกว่า 16,000 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการสำรองที่โอเวอร์เกินไป และเป็นค่าใช้จ่ายที่ประชาชนต้องแบกรับ เพราะปริมาณไฟฟ้าเหล่านี้เมื่อไปทำสัญญากับเอกชน ก็จะมีภาระค่าไฟ ที่รัฐได้ทำสัญญาผูกขาดไว้กับเอกชนต่างๆ ไม่ว่าจะใช้ไฟฟ้าที่ผลิตมาได้หรือไม่ก็ตาม ซึ่งต้องจ่ายตามสัญญาและหน่วยงานของรัฐก็ไม่ได้นำเงินส่วนตัวไปจ่าย แต่มาผลักภาระทั้งหมดให้กับประชาชนด้วยการมากำหนดในค่าไฟยูนิตต่างๆ
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในแผนความต้องการใช้ไฟฟ้า หรือ PDP ที่ กกพ. กำหนดการคำนวณโอกาสในการที่จะผลิตกระแสไฟฟ้า โดยยึดตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ซึ่งเกินไปกว่าความเป็นจริงค่อนข้างมาก โดยระบุว่าภายใน 10 ปี อัตราการเจริญเติบโตของประเทศไทยอยู่ในระดับ 3.8 % ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นตามนั้น และยิ่งเมื่อเกิดผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด -19 ยิ่งทำให้GDP ติดลบมากยิ่งขึ้น แม้รัฐบาลจะพยายามให้มีการลดค่าไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ก็เป็นการลดเพียงแค่ช่วง 2-3 เดือน เพื่อเป็นการช่วยเหลือจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องกลับมาใช้ไฟในราคาที่แพงเกินไปอยู่ดี
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เป็นธรรมกับประชาชน และผู้ตรวจการแผ่นดินเคยมีมติในเรื่องการผลิตไฟฟ้าที่ไม่เป็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 56 คือจัดให้มีสาธารณูปโภคอย่างทั่วถึง และรัฐจะต้องถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 51% แต่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตกลับผลิตไฟฟ้าได้แค่ 33 % ส่วนอีก 66 % เป็นการผลิตของภาคเอกชน ซึ่งผู้ตรวจฯได้เคยมีมติและเสนอหนังสือต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่เรื่องราคาไฟฟ้ามีการผลักภาระมาให้ประชาชนตลอดเวลา เนื่องจากการคำนวณค่าไฟเกินนำไปสู่การซื้อ-ขายไฟฟ้าเกินความความต้องการใช้ ทั้งนี้ตนมีข้อเสนอแนะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะยกเลิกสัญญาที่จะมีการลงนามในอนาคตเพื่อไม่ให้มีปริมาณไฟฟ้าเพิ่มเข้ามา เพราะถ้าไม่ยกเลิกจาก 45,000 เมกะวัตต์จะเพิ่มไปเป็นกว่า 50,000 –60,000 เมกะวัตต์ ก็จะยิ่งเป็นภาระให้กับประชาชน ซึ่งบางโรงไฟฟ้าสามารถขยายหรือเลื่อนการลงนามออกไปอีก 3-5 ปี ก็ยังได้
“ไฟฟ้าที่ผลิตมาเกิน ก็ไม่ได้ถูกนำไปใช้อะไร ถือว่าเสียไปฟรีๆ แต่ต้องจ่ายในราคาเต็มตามสัญญา ทั้งนี้ หากลดปริมาณการผลิตก็อาจจะทำให้ค่าไฟฟ้าต่อยูนิตที่เรียกเก็บจากประชาชนลดลงได้ ซึ่งตามมาตรฐานสากลต้องผลิตเกินการใช้จริงเพียง 15% แต่ประเทศเรามีการผลิตโอเวอร์ไป 50-60% เกินมาตรฐานสากล” นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ ยังกล่าวว่าการร้องผู้ตรวจฯเพื่อให้ตรวจสอบเรื่องผลิตไฟฟ้าเกินความต้องการไม่ได้เป็นการแก้เกี้ยวหลังร้องเรื่องรถเข็นราคาแพง แต่ขอยืนยันว่ายังมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าที่ซื้อของแพงอีกหลายรายการ รวมทั้งเรื่องการที่หน่วยงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 หน่วย มีตำแหน่งฝ่ายบริหารมากเกินไป เช่น รองผู้ว่าการฯเกือบ 20 ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้ว่าการอีกกว่า 30 ตำแหน่ง ซึ่งทุกตำแหน่งจะมีรถประจำตำแหน่งและผลตอบแทนที่ได้รับมากเกินไป