ศาลอาญาคดีทุจริตฯนัดตรวจหลักฐาน “บรรยิน” อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา 22 มิ.ย.นี้ ส่วนจำเลยที่ 2-6 ตรวจหลักฐานวันที่ 25 มิ.ย.มีจำเลยที่ 3 รับสารภาพสั่งพิจารณาคดีลับเพื่อความสงบเรียบร้อยพร้อมมีคำสั่งกำชับหลักเกณฑ์วิธีพิจารณาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เมื่อวันที่ 22 พ.ค.63 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยในเรือนจำ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ คดีหมายเลขดำ อท.69/2563 อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอดีตเจ้าของสำนวนโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ , นายมานัส ทับทิม อายุ 67 ปี , นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ 48 ปี , นายชาติชาย เมณฑ์กูล อายุ 31 ปี , นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี , ด.ต.ธงชัย หรือ สจ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปี ทั้งหมดภูมิลำเนา จ.นครสวรรค์ เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิด 9 ข้อหา ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 289 , ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปถึงแก่ความตาย มาตรา 309,313 , ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มาตรา 310 , ฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป มาตรา 139,140 , ฐานเป็นซ่องโจร โดยสมคบกันเพื่อกระทำผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต มาตรา 210 , ฐานร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใดโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มาตรา 213 , ฐานร่วมกันซ่อนเร้น ทำลายศพเพื่อปิดบังการตายและสาเหตุการตาย มาตรา 199 , ฐานร่วมกันกระทำการใด ๆ แก่ศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเพื่ออำพรางคดี ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 150 ทวิ , ฐานร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงาน มาตรา 145 ประกอบ ป.อ.มาตรา 33,80,83,91,92 และยังยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ข้อหาที่ 10 ฐานสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน เพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าตนมีสิทธิและแต่งเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิเพื่อกระทำผิดอาญา มาตรา 146 พร้อมทั้งขอให้นับโทษ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของศาลอาญากรุงเทพใต้ ในคดีหมายเลขแดง 636/2563 คดีปลอมเอกสารโอนหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง (ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 มี.ค.63 ให้จำคุก 8 ปี ) และคดีฆ่าเสี่ยชูวงษ์หมายเลขดำ 4915/2559 ของศาลอาญาพระโขนง (คดีฆาตกรรมเสี่ยชูวงษ์ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล) กับขอให้ศาลเพิ่มโทษนายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 3 ในอัตราส่วน 1 ใน 3 ด้วย เนื่องจากก่อนคดีนี้จำเลยที่ 3 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งมีโทษจำคุกกำหนด 3 ปี 6 เดือนและปรับ 20,000 บาทฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 537/2558 ของศาลจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งจำเลยที่ 3 พ้นโทษในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.60 และได้กลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลา 5 ปีนับจากที่พ้นโทษคดีเดิม โดยอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งหก เมื่อวันที่ 18 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ระหว่างที่จำเลยที่ 1-6 ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งถูกคุมขังตั้งแต่ชั้นฝากขังเมื่อวันที่ 25 ก.พ.63 เนื่องจากศาลไม่ได้ให้ประกันตัวเพราะเกรงว่าจะหลบหนี สำหรับคำฟ้องระบุพฤติการณ์ สรุปว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.- 4 ก.พ.63 จำเลยที่ 1-6 ร่วมกันสมคบวางแผนแบ่งหน้าที่ และตกลงร่วมกันที่จะใช้กำลังประทุษร้ายเอาตัวนายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายของผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะและเจ้าของสำนวนคดีปลอมเอกสารโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ ไปหน่วงเหนี่ยวกักขังและเป็นข้อต่อรองเรียกค่าไถ่โดยข่มขืนใจให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยจำเลยทั้งหก ต้องการให้ผู้พิพากษามีคำพิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำ 305/2561 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ (คดีปลอมเอกสารการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ ที่ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน และหญิงสาวคนสนิทอีก 2 คนซึ่งเป็นอดีตพริตตี้และอดีตโบรกเกอร์) รวมทั้งจะให้มีคำสั่งในคำพิพากษาให้คืนเงินกับหุ้นทั้งหมดให้ พ.ต.ท.บรรยินจำเลยที่ 1 อันเป็นลักษณะการเรียกค่าไถ่ โดยจำเลยทั้งหกร่วมกันวางแผนใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลที่นำแผ่นป้ายทะเบียนของคนอื่นมาติดแทนป้ายทะเบียนที่แท้จริง และใช้โทรศัพท์มือถือหมายเลขที่เปิดใหม่โดยใช้ชื่อบุคคลอื่นในการขอเปิดใช้บริการหมายเลขโทรศัพท์ใหม่นั้น มาใช้เป็นยานพาหนะและเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของนายวีรชัยและผู้พิพากษาผู้เสียหาย จนทราบว่านายวีรชัย จะนั่งรถยนต์โดยสารสาธารณะจากบ้านพัก มาส่งผู้พิพากษาเพื่อทำงานตอนเช้าที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 เขตสาทร และตอนเย็นก็จะมารับผู้พิพากษากลับบ้านพักเป็นประจำทุกวัน ซึ่งจำเลยทั้งหกได้ร่วมกันสมคบคิดวางแผน แบ่งหน้าที่กันทำและตกลงร่วมกันที่นำตัวนายวีรชัยไปโดยมีเจตนาฆ่าและทำลายศพด้วยการใช้ไฟเผาด้วยยางรถยนต์ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงที่บริเวณเขาใบไม้ ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ โดยร่วมกันนำแผ่นสังกะสี , น้ำมันเบนซิน , ยางรถยนต์ , น้ำเปล่าไปเตรียมรอไว้ ซึ่งจำเลยทั้งหกได้ตกลงกำหนดวันที่จะกระทำการตามที่ร่วมกันวางแผนไว้ในวันที่ 4 ก.พ.63 ต่อมาวันที่ 4 ก.พ.63 พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจและไม่มีสิทธิสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมาย ได้บังอาจสวมเครื่องแบบและประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงานตำรวจ สวมหมวกกันน็อคสีทองซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจใช้สวมขณะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้นายวีรชัยและบุคคลอื่นเชื่อว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และเพื่อความสะดวกในการจับตัวนายวีรชัยไปหน่วงเหนี่ยวกักขัง โดย พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 , นายณรงค์ศักดิ์ ที่ 3 , นายชาติชาย ที่ 4 , นายประชาวิทย์หรือตูน ที่ 5 ร่วมกันแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกับนายวีรชัย ทั้งที่ตนไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 , 3 , 4 , 5 ได้ร่วมกันใช้กำลังล็อคคอ ฉุดลากบังคับพาไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัวโตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์ สีดำที่ติดป้ายทะเบียน 3 กว.-7719 กทม. ที่จอดรถอยู่ริมถนนหน้าอาคารศาลแพ่งกรุงเทพใต้ (ถ.เจริญกรุง 63 อาคารเดียวกับศาลอาญากรุงเทพใต้) ซึ่งรถยนต์นั้นขับมุ่งหน้าไป จ.นครสวรรค์ ระหว่างการเดินทางจำเลยที่ 1,3,4,5 ร่วมกันโทรศัพท์ข่มขู่ผู้พิพากษาให้ยกฟ้องคดีโอนหุ้น ถ้าไม่ยอมจะเอานายวีรชัยไปทิ้ง ถ้าบอกทำไม่ได้จะจัดการเลยรับรองหาซากไม่เจอ ซึ่งขณะนั้นพวกจำเลยเข้าใจว่านายวีรชัยเป็นสามีของผู้พิพากษา โดยจำเลยที่ 1-5 ร่วมกันฆ่านายวีรชัยโดยวิธีการใดไม่ปรากฏชัดเพื่อปกปิดความผิดอื่น กระทั่งวันที่ 4 ก.พ.63 ช่วงเวลากลางคืน - วันที่ 5 ก.พ.63 เวลากลางคืน หลังจากที่จำเลยทั้งหกร่วมกันกระทำความผิดแล้ว พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 และนายณรงค์ศักดิ์ ที่ 3 ได้บังอาจกระทำการกับศพนายวีรชัยด้วยการนำไปที่บริเวณเขาใบไม้ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ที่พวกจำเลยได้สมคบวางแผนกันที่จะเผาทำลายศพแล้วจำเลยที่ 1,3 ร่วมกันนำยางรถยนต์สวมใส่ศพนายวีรชัย และนำน้ำมันเบนซินราดที่ศพก่อนจุดไฟเผา จากนั้นจำเลยที่ 1,3 ร่วมกันเก็บชิ้นส่วนศพที่เหลือจากการเผาและเศษสิ่งของอื่นๆ ใส่ถุงพลาสติกหลายถุง ไปทิ้งที่ริมถนนสายนิคม-ห้วยตุก ต.นิคมเขาบ่อแก้ว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และนำทรัพย์สินของนายวีรชัย กับมือถือ , แผ่นป้ายทะเบียนรถไปทิ้งลงแม่น้ำปิง บริเวณวัดไทรใต้ ต.ปากน้ำโพ อ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ เพื่อทำลายหลักฐาน กระทั่งวันที่ 23 ก.พ.63 ตำรวจจับจำเลยทั้งหก และตรวจยึดรถกับอุปกรณ์ที่เป็นของกลางที่ใช้กระทำผิดได้รวม 217 รายการ ชั้นสอบสวน พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1, นายมานัส ที่ 2 , ด.ต.ธงชัยหรือ สจ.อ๊อด ที่ 6 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา , นายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา , นายชาติชาย จำเลยที่ 4 และนายประชาวิทย์หรือตูน ที่ 5 ให้การรับสารภาพเฉพาะการสมคบวางแผน โดยให้การปฏิเสธช่วงของการพาตัวนายวีรชัยไปกระทั่งเสียชีวิตและมีการนำศพไปเผายางรถยนต์ ซึ่งท้ายฟ้อง อัยการ โจทก์ ได้ขอคัดค้านการให้ประกันตัวจำเลยทั้งหกด้วย เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงหากได้รับการปล่อยชั่วคราวเกรงว่าจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น รวมทั้งอาจจะหลบหนี และหากจำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ก็ขอสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ขณะเดียวกันอัยการขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งหกสถานหนักด้วย เนื่องจากการกระทำนั้นไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และเป็นการกระทำที่อุกอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศด้วย