คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 จะเป็นช่วงของการระดมพละกำลังแข่งขันหาเสียงที่แสนจะเข้มข้น เพื่อต้องการช่วงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ศึกครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”และ “อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน” เมื่อต้นปีนักการเมืองทั้งสองค่าย ต่างก็ไม่เคยคาดคิดว่าโรคระบาดโควิด-19 จะคร่าชีวิตผู้คนอเมริกันไปเป็นจำนวนมหาศาลและยังสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง !!! โดย “คลอเดีย ซาห์ม” นักเศรษฐศาสตร์ชื่อเสียงโด่งดังแห่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเธอผู้นี้เคยทำงานให้กับประธานาธิบดีบารัก โอบามา มาแล้วได้ออกมาประเมินสถานการณ์เอาไว้เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่เพิ่งผ่านมานี้ว่า “โรคโควิด-19 จะสร้างความเสียหายและจะสร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงมากกว่าเมื่อครั้งที่สหรัฐฯ เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยเมื่อปี 2007-2009 ถึงสองเท่าตัว และกว่าจะกลับคืนสู่โหมดปกติได้ ก็คงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี” ทั้งนี้ “ประธานเฟด เจโรม พาวเวลล์” ก็ได้ออกมาเห็นพ้องในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันสืบเนื่องมาจากโรคระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 คงจะกลายเป็นโจทย์ร้อนที่ทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และโจ ไบเดน จำต้องงัดเอากึ๋นทั้งหมดที่มีอยู่ออกมานำเสนอในการแก้ไขปัญหานี้ว่า “ใครจะเป็นผู้เสนอนโยบายเข้าตากรรมการเหล่าบรรดาอเมริกันชนได้ดีกว่ากัน และใครจะมีแนวโน้มที่รักษาผลประโยชน์แก่ชนชั้นกลางให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ได้ยอดเยี่ยมกว่ากัน” และถึงแม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามเซ็นอนุมัติกฎหมายช่วยเหลือเยียวยาต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นไปแล้วถึงสี่ฉบับเมื่อเดือนมีนาคมและเมษายน ซึ่งมียอดเม็ดเงินกว่า 2.6 ล้านล้านเหรียญ แต่กลับปรากฏว่าไม่สามารถรักษาแผลใหญ่ที่กำลังเหวอะหวะเลือดไหลนอง เป็นการกระทำที่เปรียบเสมือนแค่เพียงหยิบเอาพลาสเตอร์ไปใช้ปิดแผลมีดบาดมือเล็กๆเท่านั้น!!! เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้ปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ทำได้แค่เพียงยืนพิงเสาตั้งรับการตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงจากทั้งฝ่ายนักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันว่า “เพราะเหตุไฉนจึงทำงานแสนจะยืดยาดเชื่องช้า” และการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งความหวังเอาไว้อย่างสูงว่า จะมีการค้นพบวัคซีนที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ได้ก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง ทำให้เมื่อใดก็ตามที่มีข่าวแว่วออกมาว่า สามารถค้นพบวัคซีนแล้ว เมื่อนั้นดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ก็จะพุ่งสูงขึ้นในทันที ดังเช่นเมื่อวันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคมนี้บริษัทเทคโนชีวภาค “โมเดอร์นา (Moderna)” ของสหรัฐฯได้ออกมาเปิดเผยถึงการทดลองทางคลินิกเบื้องต้นว่า “ยาตัวนี้สามารถต่อต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้” ทันทีที่ข่าวนี้ถูกแถลงออกมาปรากฏว่า ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นแทบทุกตัว ส่วนดัชนีดาวโจนส์ก็ได้เพิ่มสูงขึ้นกว่า 900 จุด!!! ส่วนการที่ในแต่ละวันประธานาธิบดีทรัมป์มักจะออกมาสร้างข่าวครึกโครมเป็นประจำดังเช่นล่าสุดนี้ เขาได้ออกมาบอกว่า “ข้าพเจ้าทานยาแก้ไข้มาลาเรียมาแล้วสิบวัน เพื่อป้องกันโรคโควิด-19” นับเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เขาต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงจากวงการแพทย์ทั่วประเทศ และในอีกกรณีหนึ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศยื่นคำขาดไปยังองค์การอนามัยโลก เพื่อขอถอนตัวเป็นการถาวร โดยตำหนิองค์การอนามัยโลกและจีนว่า เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้โรคโควิด-19 แพร่ระบาดขยายตัวไปยังสหรัฐฯ แต่กลับปรากฏผลว่าทั้ง จีน รัสเซีย รวมไปถึงสหภาพยุโรปออกมากล่าวไล่ตะเพิดให้กลับไปสงบสติอารมณ์!!! คราวนี้ผมขอวกกลับมาพูดเกี่ยวกับโจ ไบเดนกันบ้าง ทั้งนี้เขามีแบรนด์เนมที่ดีพะยี่ห้อติดอยู่ประจำตัวว่าเขาคือ “ผู้พิทักษ์ชนชั้นกลางของสหรัฐฯ” (Save the Middle Class to Save America) โดยเขาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า “เป็นแชมเปียนของบรรดาคนชั้นกลาง” ซึ่งช่างตรงกันข้ามกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์อย่างสิ้นเชิง ที่ประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งแต่โอบอุ้มผลประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ โดยไม่ค่อยปรายตาเหลียวแลชนชั้นกลางนับตั้งแต่เขาก้าวขาเข้าสู่ทำเนียบขาว!!! ทั้งนี้การที่นโยบายของอดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ออกมาประกาศชูธงอ้าแขนปกป้องชนชั้นกลางเยี่ยงนี้ อาจจะเข้าตาคนอเมริกันส่วนใหญ่ของประเทศที่ขณะนี้มีผู้ว่างงานมากกว่า 36 ล้านคน และการที่โจ ไบเดนได้เสนอนโยบายที่จะยกหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษาที่แต่ละรายมียอดเงินกู้ไม่ต่ำกว่า 125,000 เหรียญให้นั้น ดูเหมือนว่าการที่เขานำข้อเสนอนี้ออกมาก็เพื่อต้องการที่จะดึงดูดคะแนนนิยมจากผู้ที่เคยนิยมชมชอบ “วุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส” และ “วุฒิสมาชิกอลิซาเบธ วอร์เรน” เรียกให้มาเป็นของเขาเองอีกด้วย และถึงแม้ว่าโจ ไบเดน จะไม่ได้เดินทางออกจากบ้านที่ รัฐเดลาแวร์ เลยก็ตาม แต่เขาก็ได้ยึดเอาบ้านของเขาเป็นศูนย์บัญชาการ โดยเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมนี้เขาได้ตั้งคณะกรรมการทำงานขึ้นมาถึงหกชุด เพื่อเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติงาน หากเขาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเขามุ่งเน้นเฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านสวัสดิการสุขภาพ ด้านโลกร้อน ด้านการปฏิรูปอิมมิเกรชั่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน การระดมมันสมองของโจ ไบเดน ในครั้งนี้ เขามิใช่เจาะจงไปที่นักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตเพียงอย่างเดียว แต่เขาได้ดึงเอานักการเมืองที่มีศักยภาพของพรรครีพับลิกันเข้าไปร่วมด้วยเพราะเป็นที่ทราบในแวดวงการเมืองกันเป็นอย่างดีแล้วว่า เขาสามารถร่วมทำงานเข้าขากับนักการเมืองของค่ายพรรครีพับลิกัน โดยใช้หลักด้านประนีประนอมถ้อยทีถ้อยอาศัย อนึ่งเมื่อครั้งที่โจ ไบเดน ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ในยุคสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา อยู่นั้น เขาเคยได้รับมอบหมายให้ดูแลงบประมาณ 787 พันล้านเหรียญ ในการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย เท่ากับว่าไบเดนมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญช่ำชองค่อนข้างสูง แต่อย่างไรก็ตามการฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ทั้งโลกต้องหยุดชะงักเพราะเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นต้นเหตุนั้น แสนจะแตกต่างสลับซับซ้อนอย่างมากมายมหาศาลแถมยังมียอดของผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากจนสหรัฐฯต้องติดอยู่ในอันดับหนึ่งของโลกอีกด้วย และเป็นที่แน่นอนแล้วว่า “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” จะต้องเข้าไปช่วยเหลือเป็นทั้งแขน ขา มันสมอง และเป็นกระบอกเสียงหลักให้แก่โจ ไบเดน และการที่อดีตประธานาธิบดีโอบามายินดีที่จะเป็นกระบอกเสียงให้แก่โจ ไบเดน เยี่ยงนี้ นับว่าไม่ธรรมดาเลย โปรดอย่าลืมว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีความอิจฉาริษยาในตัวของอดีตประธานาธิบดีโอบามาทั้งในด้านของความเฉลียวฉลาด ความรอบคอบ ความกล้าหาญ และการได้รับความนิยมชมชอบจากคนอเมริกันสูงมาโดยตลอด แถมประธานาธิบดีทรัมป์ยังพยามยามทำทุกวิถีทางที่จะดิสเครดิตและเล่าความเท็จให้ร้ายต่ออดีตประธานาธิบดีโอบามา ตลอดเวลา ดังเช่น เคยออกมาประกาศว่า โอบามามิได้เกิดในสหรัฐฯ นับถือศาสนามุสลิม ซึ่งทุกอย่างที่เขาพ่นออกมาจากปากล้วนเป็นแต่เรื่องเท็จแทบทั้งสิ้น!!! กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะออกมาฟันธงคอนเฟริมส์ว่า อีกห้าเดือนกว่าๆใครคือผู้ที่ได้รับชัยชนะเข้าไปนั่งครองเก้าอี้ในทำเนียบขาว แต่ที่แน่นอนที่สุดในขณะนี้ก็คือประธานาธิบดีทรัมป์กำลังเสียวๆหวั่นวิตกในความเก๋าเกมของโจ ไบเดน ในแทบทุกๆด้าน รวมทั้งคะแนนนิยมที่เขากำลังเป็นรองโจ ไบเดนอยู่หลายขุม แถมพรรคเดโมแครตกำลังผนึกตัวจับมือช่วยกันทำงานอย่างเหนียวแน่น แต่ก็ไม่แน่อีกเช่นกัน เพราะหากมีการค้นพบวัคซีนรักษาโรคโควิด-19 ได้ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งและภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น คะแนนความมั่นใจของคนอเมริกันก็คงจะเทให้กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนมีผลทำให้โจ ไบเดนเพลี่ยงพล้ำไปได้เช่นกันละครับ