"ฟาร์มสุขใจ" ตรวจโดมนำร่องปลูกกัญชาทางการแพทย์ “นครราชสีมา”มีความพร้อมเกือบ 100% เน้นทำตามขั้นตอน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกัญชา ให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเป็นผู้ขออนุญาตทำ MOU กับหน่วยงานของรัฐเพื่อดำเนินการขอปลูก วันนี้ (21 พฤษภาคม 2563) ณ ศูนย์การเรียนรู้เมืองสมุนไพรฟาร์มสุขใจบ้านอ่างหิน ต.ธงชัยเหนือ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา นายดิชฐ์พิเชษ สุวรรณโพธิ์ ประธานโครงการฟาร์มสุขใจ ภายใต้ บริษัทฟาร์มสุขใจ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด(มหาชน) นางสาวนงนุช บัวใหญ่ CEO บริษัทฟาร์มสุขใจ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (มหาชน) ,ผศ.ดร.อานนท์ แสนน่าน ประธานหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นไทย ,นางธนภัทร พันธวาส ประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแห่งประเทศไทย คณะผู้บริหารบริษัทฟาร์มสุขใจ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด(มหาชน) และ คณะผู้บริหารเครือข่ายวิสาหกิจ ลงพื้นที่ตรวจดูการสร้างอาคารโดมปลูกกัญชา กัญชง พืชสมุนไพร และ เกษตรอินทรีย์ต่างๆ เพื่อเป็นการสนับสนุนส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกร นายดิชฐ์พิเชษ สุวรรณโพธิ์ ประธานโครงการฟาร์มสุขใจ ภายใต้ บริษัทฟาร์มสุขใจ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า วันนี้ทางคณะผู้บริหารฟาร์มสุขใจ และเครือข่ายต่างๆ เข้ามาตรวจดูการสร้างอาคารโดม รั้ว กัญชาเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกกัญชาเพื่อการแพทย์ถือได้ว่าผ่านไปด้วยดีกว่าเกือบ 100% ซึ่งตามข้อกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมกัญชา พ.ศ.2562 นั้นมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ นอกจากนี้ ยังกำหนดคุณสมบัติของผู้ขออนุญาตผลิต นำเข้า หรือส่งออก ให้จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา โดยการปลูกกัญชาต้องดำเนินการในสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาตเท่านั้น ในการปลูกทุกครั้งต้องใช้เมล็ดพันธุ์ เนื้อเยื่อ หรือวิธีการอื่นตามที่ได้รับอนุญาตแล้ว และจัดทำแนวเขตพื้นที่การเพาะปลูกที่เห็นได้ชัด ซึ่งต้องจัดให้มีการสุ่มวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบหาปริมาณสารสำคัญในกัญชา เช่น Cannabidiol (CBD) หรือ Tetrahydrocannabinol (THC) สารปนเปื้อน โลหะหนัก หรือสารอื่นๆ ในการปลูกทุกครั้ง ตามมาตรฐานที่กำหนด และเก็บหลักฐานการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าว ณ สถานที่ที่ได้รับอนุญาตเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ในกรณีที่ผู้รับอนุญาต ไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ ต้องจัดให้มีการสุ่มวิเคราะห์ดังกล่าว โดยผู้รับอนุญาตอื่นที่รับผลผลิตจากผู้รับอนุญาตปลูกไปดำเนินการแปรรูปหรือผลิตต่อไป รวมทั้งกำหนดให้ผู้รับอนุญาตผลิต หรือนำเข้าผลิตภัณฑ์ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จะผลิต หรือนำเข้า ซึ่งตำรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ ต้องขอการรับรองตำรับต่อผู้อนุญาตก่อน และเมื่อได้รับหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์แล้ว จึงจะผลิตหรือนำเข้าซึ่งตำรับยาเสพติดให้โทษนั้นได้ ส่วนการศึกษาวิจัย ให้ยื่นคำขอต่อผู้อนุญาตตามแบบที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยากำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา พร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐาน เป็นต้น นายดิชฐ์พิเชษ กล่าวอีกว่า ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 มีอีกหลายหน่วยงานที่สามารถทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ หรือร่วมกับหน่วยงานของรัฐ สามารถทำได้หมด ในส่วนของการแจ้งเพื่อขอทำการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์นั้น ก็ยังสามารถทำได้ตลอด เนื่องจากกฎหมายมีการอนุญาตให้ขออนุญาตได้ แต่ต้องเป็นหน่วยงานรัฐ จะเป็นหน่วยงานรัฐใดก็ได้ สรุปโดยสังเขป ผู้ที่จะปลูกได้ ประกอบไปด้วย 1.หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับทางการแพทย์ 2.หน่วยงานที่เกี่ยวกับทางการเกษตร เช่น วิสาหกิจชุมชนไปร่วมกับมหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาสายพันธุ์ว่าสายพันธุ์ไหนดีหรือไม่ดี ก็สามารถมาขออนุญาตได้ แต่ต้องมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ขออนุญาต และ 3.หน่วยงานของรัฐร่วมกับเอกชน เป็นต้น.