"ศบค."เผยไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19รายใหม่ 3 ราย มีประวัติสัมผัสผู้ป่วย ขณะที่"พิษโควิด"ระบาดทั่วโลกยอดป่วยทะลุ 4.8 ล้านคน คาดทุบธุรกิจการบินทั่วโลกซึมยาวถึงปี 67 ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 พ.ค.63นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงว่า ยอดผู้ติดเชื้อสะสมขณะนี้มีจำนวน3,031 ราย โดยล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย แต่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิตสะสม 56 ราย หายป่วยกลับบ้านเพิ่มอีก 1 ราย รวมยอดหายป่วยสะสม 2,857 ราย และรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 118 ราย สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3 ราย โดย 2 รายแรก เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อในส่วนราชการใน กทม. ได้แก่ หญิงไทย อายุ 29 ปี มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันในที่ทำงานส่วนราชการในกรุงเทพฯ และชายไทย อายุ 55 ปี มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันในที่ทำงานเดียวกับรายที่ 1 และรายที่ 3 เป็นหญิงไทย อายุ 27 ปี มีอาชีพเป็นพนักงานขายอยู่ ที่ จ.ภูเก็ต โดยพบประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน ที่จ.ปราจันบุรี "การวิเคราะห์จากการเดินทางออกจาก จ.ภูเก็ต แล้วไปพบว่าป่วยโควิด-19 ในจังหวัดต่างๆ พบว่า เดือนมี.ค.ออกจากภูเก็ตแล้วไปเจอผู้ป่วยจังหวัดอื่น 7 ราย ช่วง เม.ย.เจอ 5 ราย และ พ.ค.เจอ 2 ราย คือ ปราจีนบุรี และเชียงใหม่ เรียกว่า เชื่อมโยงกับการเดินทางข้ามจังหวัด ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโรคระบาดติดต่อ เรามีอิสระเสรีในการเดินทาง แต่ต้องเข้าใจความเสี่ยง พอมีอาการขึ้นมา ให้รีบเข้ารับการรักษา และตรวจโดยเร็ว แค่จมูกไม่ได้กลิ่น ครั่นเนื้อครั่นตัวมีไข้ก็ไปได้เลย เจอได้เร็วรักษาได้เร็ว" นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 นั้น จากวันที่ 1 มี.ค.63 ใช้เวลา 1 เดือน กลายเป็นติดเชื้อเป็นสีแดงแทบทั้งประเทศ แต่จากวันที่ 26 มี.ค. มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ใช้เวลาเดือนกว่าๆ พื้นที่สีแดงลดลง ก็กลับมาเขียวเกือบทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 2 แต่ยังจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ส่วน สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สมาคมการบินระหว่างประเทศ หรือไออาตา (ไอเอทีเอ) เปิดเผยผลการวิเคราะห์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีผลต่อธุรกิจการบินทั่วโลก โดยระบุว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศอย่างหนักกว่าที่จะกลับฟื้นตัวคืนมาอีกครั้ง ก็จะต้องใช้เวลานานถึงปี 2024 (พ.ศ. 2567) หรืออีก 4 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน ทาง "เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ส" สายการบินใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก เตรียมปลดพนักงาน กว่า 30,000 คน จาก100,000 คน อีกทั้งยังเตรียมปลดระวางเครื่องบินโดยสารแบบแอร์บัส เอ380 อีกจำนวน 46 ลำ จากจำนวนที่มีประจำการอยู่ทั้งสิ้น 114 ลำ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่ง ส่งผลกระทบต่อสายการบิน และผลการประกอบการของทางบริษัทฯ แม้ว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาจะได้ผลการประกอบการมีกำไรอยู่ที่ร้อยละ 21 ก็ตาม โดยประธานบริหารบริษัทสายการบินเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ส เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังลุกลามไปในประเทศต่างๆ ทั่วโลกในเวลานี้ อาจต้องใช้ระยะเวลาการฟื้นตัวของธุรกิจการบินนานถึง 18 เดือน หรือ 1 ปีครึ่ง ขณะที่ สถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยล่าสุด ส่งผลให้มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้นจำนวน 4,805,186 ราย ผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 316,730 ราย และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายมีจำนวนสะสม 1,860,036 รายโดยประเทศสหรัฐอเมริกา มีผู้ป่วยสะสมสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 1,527,664 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 90,978 ราย