ผลจากเริ่มผ่อนคลายมาตรการ วางแนวทางฟื้นฟู เสริมพลังด้วยวัคซีนใจในทุกระดับ ทั้งบุคคล ครอบครัว ชุมชน ชู 3 พลัง พลังบวก-พลังยืดหยุ่น-พลังร่วมมือ เพื่อก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ระบุอัตราฆ่าตัวตายเทียบไม่ต่างกับปีก่อน เหตุใหญ่ยังเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่ช่วง 4 เดือนแรกของปีแนวโน้มพุ่ง สวนทางกับสาเหตุการตายจากสุราที่ลดลง นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึง ผลการประเมินระดับความเครียดของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขและประชาชน ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 27 เม.ย. - 3 พ.ค.63 มีแนวโน้มที่ลดลงเมื่อเทียบกับการสำรวจในช่วงการระบาดระยะแรก โดยในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข มีความเครียดมาก-มากที่สุด 5.6% เครียดระดับปานกลาง 21.4% และในประชาชนทั่วไปมีความเครียดมาก-มากที่สุด 2.9% เครียดระดับปานกลาง13.1% ซึ่งอาจเป็นผลจากการเริ่มมีการผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และการดำเนินงานเชิงรุกด้านสุขภาพจิตมากขึ้นในแต่ละพื้นที่ แต่ยังมีความจำเป็นในการใช้ แนวทางการฟื้นฟูจิตใจในสถานการณ์การระบาดของโรคที่กรมสุขภาพจิตได้กำหนดกรอบแนวทางการดำเนินงานขึ้นมาเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสุขภาพจิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีการแบ่งกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบสุขภาพจิต แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้กักกัน/ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงาน กลุ่มเปราะบางต่อปัญหาสุขภาพจิต และประชาชนทั่วไป/ชุมชน สำหรับกลุ่มที่ต้องมีการเน้นการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตหรือผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งประกอบด้วยบุคลากรสาธารณสุข ผู้เกี่ยวข้องกับโควิด-19 กลุ่มผู้ป่วย NCD เรื้อรัง และกลุ่มติดสุรา-ยาเสพติด ซึ่งการทำงานของกรมสุขภาพจิต ในการฟื้นฟูจิตใจในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 นี้ได้ใช้กลไกการเสริมสร้างพลังด้วยวัคซีนใจในระดับต่าง ๆ ได้แก่ วัคซีนใจในบุคคล วัคซีนใจในครอบครัว และวัคซีนใจในชุมชน โดยวัคซีนใจในระดับบุคคล จะเน้นในเรื่องการส่งเสริม การป้องกัน การรักษาและการฟื้นฟู วัคซีนใจในระดับครอบครัว จะเน้นในเรื่อง 3 พลัง ได้แก่ พลังบวก โดยการมองสถานการณ์ให้เป็นในเชิงบวกเพื่อพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น พลังยืดหยุ่น เป็นบทบาทที่จะสามารถสร้างการปรับตัวและทำหน้าที่ทดแทนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และพลังร่วมมือเพื่อเป็นพลังในการสร้างความปรองดองและก้าวผ่านวิกฤตไปได้ และสุดท้ายวัคซีนใจในชุมชน โดยสร้างชุมชนที่รู้สึกปลอดภัย สร้างชุมชนทีมีความหวัง สร้างชุมชนที่รู้สึกสงบ สร้างชุมชนที่เข้าใจและโอกาส ใช้ศักยภาพของชุมชน พัฒนาเครือข่ายในการช่วยเหลือสื่อสารและใส่ใจที่จะแก้ไขปัญหา และใช้สายสัมพันธ์ในชุมชนเพื่อกำหนดเป้าหมาย ไว้ใจ ให้กำลังใจและส่งต่อเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกันในสังคม นพ.เกียรติภูมิ ยังได้กล่าวถึงสำหรับสถานการณ์การเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในช่วงที่ผ่านมาว่า ในช่วงปี พ.ศ.2562-2563 พบว่า 5 ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายสำเร็จของคนไทย เช่น ปัจจัยด้านความสัมพันธ์, สุรา, การป่วยกายจิต ได้มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยปัญหาสุราที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน สำหรับปัจจัยปัญหาเศรษฐกิจนั้นยังคงเป็นปัจจัยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งในด้านของจำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายจากระบบรายงานการเฝ้าระวังการทำร้ายตนเองของกรมสุขภาพจิต พบว่า อัตราการเสียชีวิตจากฆ่าตัวตายยังคงมีค่าใกล้เคียงกับในช่วงปีที่ผ่านมา (2.1 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน) อาจอธิบายได้ว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจแม้จะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันปัญหาความสัมพันธ์และการดื่มสุราที่นำมาสู่การฆ่าตัวตายกลับมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม Universal Intervention เช่น มาตรการทางสังคมเศรษฐกิจ และ Selective Intervention เช่น การป้องกันการกลับมาทำร้ายตัวเองซ้ำ ยังคงเป็นมาตรการที่สำคัญต่อการช่วยลดระดับความรุนแรงของอัตราการฆ่าตัวไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม หากประชาชนรู้สึกเครียด หมดไฟ เบื่อหน่าย ท้อแท้ หรืออยากทำร้ายตัวเอง ควรรีบปรึกษาคนใกล้ชิดหรือผู้เชี่ยวชาญ และยังสามารถใช้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง