“สศช.”เผยตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/63 ติดลบ 1.8% โดยเป็นการติดลบครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 57 ขณะที่ทั้งปีคาดจะติดลบ 5-6% ส่วนส่งออกติดลบ 8% นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพีไตรมาส 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนติดลบ 1.8% โดยเป็นการติดลบครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 1/2557 และคาดว่าไตรมาส 2 จะติดลบมากกว่าไตรมาส 1 ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2563 คาดจะติดลบ 5- 6% จากการปรับตัวลงอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจและการค้าโลก การลดลงของจำนวนและรายได้จากภาคท่องเที่ยวต่างชาติ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาภัยแล้งที่คาดว่าส่งออกทั้งปีจะติดลบ 8% สำหรับตัวเลขประมาณการณ์จีดีพีทั้งปีที่คาดว่าจะติดลบ 5-6% อยู่ภายใต้สมมติฐานการแพร่ระบาดของโควิด-19 สามารถควบคุมได้ภายในไตรมาส 2 และไม่มีการแพร่ระบาดรอบ 2 กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาขับเคลื่อนได้ในไตรมาส 2 และเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ในไตรมาส 3 และนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับมาท่องเที่ยวไทยในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ขณะที่ความคืบหน้าการใช้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ในส่วนของงบเยียวยา 555,000 ล้านบาท ล่าสุดคงเหลือ 190,000 ล้านบาท โดยเยียวยาเกษตรกร 10 ล้านคน,เยียวยา 5,000 บาท จำนวน 16 ล้านคน,ประกันสังคม 11 ล้านคน และกลุ่มเปราะบางของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) 14 ล้านคน ขณะที่ 45,000 ล้านบาทจะเป็นงบด้านสาธารณสุข ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการทำแผนใช้งบ และงบอีก 400,000 ล้านบาท จะเป็นงบสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นเงินที่ลงสู่ท้องถิ่นรวมถึงการจ้างงาน ซึ่งขณะนี้แต่ละหน่วยงานอยู่ระหว่างจัดทำโครงการ คาดจะเสร็จภายในเดือนมิถุนายน และสามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป สำหรับเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ไม่ได้คาดหวังการกระตุ้นตัวเลขจีดีพี แต่หวังช่วยประคองเศรษฐกิจ และเชื่อว่าสถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งมีความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขและคนไทย โอกาสที่จะเกิดการแพร่ระบาดรอบ 2 จึงมีน้อย ดังนั้น เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทจึงเพียงพอ โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นแบบตัวยู ทั้งนี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาได้มีการหารือร่วมกับกระทรวงการคลังแล้ว และเป็นตัวเลขเดียวกัน