ประธานเครือข่าย กทบ. 4 ตำบล เหลือทนแจ้งจับประธานเครือข่าย กทบ.อ.ยางตลาด ปลอมเอกสารและโกงเงินกองทุน หอบหลักฐานหารือองค์การสืบสวนการทุจริต (FIO) ก่อนพาเข้าแจ้งความเอาผิด
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2563 ดร.ก้องภพ วังสุนทร ประธานองค์การสืบสวนการทุจริต (FIO) พร้อมด้วยนางขนิษฐา วาทวิจารณ์ ประธานองค์การสืบสวนการทุจริต ภาคอีสานตอนบน, พันโท ดร.พิสิษฐ์ ชาญเจริญ ที่ปรึกษาภาคอีสานตอนบน และกรรมการภาคอีสานตอนบน ได้นำประธานเครือข่ายกองทุนหมู่บ้าน ตำบลหัวนาคำ ,ตำบลโนนสูง ,ตำบลคลองขาม และตำบลหัววัว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับ ประธานเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ในข้อหาปลอมเอกสารและฉ้อโกง โดยมี พ.ต.ท.วิชชุกร ภูตา สว.(สอบสวน) สภ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ รับแจ้งและสอบสวนปากคำผู้เสียหายในเบื้องต้น แล้วจะดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ดร.ก้องภพ วังสุนทร ประธานองค์การสืบสวนการทุจริต FIO เปิดเผยว่า ได้รับการร้องทุกข์จากประธานกองทุนหมู่บ้านในภาคอีสานหลายอำเภอ มีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก จากพฤติกรรมเรียกเก็บเงินของประธานเครือข่ายระดับอำเภอ หลายอำเภอ ตั้งแต่การเซ็นรับรองงบดุลประจำปีทุกๆ ปี ต้องจ่ายให้ประธานเครือข่าย ตั้งแต่กองทุนละ 1,000 – 4,000 บาท
นอกจากนั้นยังต้องจ่ายค่าทำหนังสือนำส่งและรับรองเอกสาร ค่าตรวจเอกสาร ในการขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปี 2563 กองทุนละ 200,000 บาท ตามการตกลงระหว่างประธานกองทุนหมู่บ้านกับประธานเครือข่ายอำเภอ ตั้งแต่กองทุนละ 10,000 – 50,000 บาท หรือบางอำเภอจะมากกว่านี้ ซึ่งถ้าไม่มีลายเซ็นประธานเครือข่ายระดับอำเภอ สทบ. ก็จะไม่ผ่านการอนุมัติ และธนาคารก็ไม่เบิกจ่ายเงินให้ ซึ่งไม่มีระเบียบฯใดๆ ระบุว่าต้องทำแบบนี้
บางกองทุนหมู่บ้าน ได้ทำตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พ.ศ.2563 ทุกประการ โดยไปยื่นให้กับศูนย์ปฏิบัติการจังหวัด ถึง 3 รอบก็ไม่ผ่าน โดยมีเจ้าหน้าที่ สทบ. บอกว่าไม่ผ่าน งบดุลประจำปีต้องผ่านการรับรองและมีลายเซ็นจากเครือข่ายระดับอำเภอเท่านั้นถึงจะผ่าน แต่บางกองทุนหมู่บ้าน บางตำบล บางอำเภอ ไม่ได้ทำเอกสารหรือเอกสารไม่ครบ บางกองทุนมีแค่แบบคำขอรับการสนับสนุนโครงการก็ผ่านการอนุมัติงบประมาณแล้ว
ดร.ก้องภพ กล่าวอีกว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ (ข้อหาฉ้อโกง) ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงประชาชน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดร.ก้องภพ วังสุนทร ประธานฯ FIO กล่าวต่อว่า กรณีที่เครือข่ายกองทุนหมู่บ้าน เข้าแจ้งความกล่าวโทษในวันนี้ เนื่องจากประธานเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง อ.ยางตลาด กระทำการเข้าข่ายความผิดอาญา 2 คดี คือ 1) เข้าข่ายความผิดอาญา มาตรา 264 ปลอมแปลงเอกสารทางราชการ โดยมีการจัดทำเอกสารขึ้นมาฉบับหนึ่งเพื่อให้ตนเองมีอำนาจในการลงนามหนังสือแจ้งธนาคารก่อน ธนาคารจึงจะให้กองทุนทุนหมู่บ้านเบิกถอนเงินในบัญชีธนาคารของกองทุนหมู่บ้านได้ ถ้ากองทุนใดไม่มีหนังสือจากประธานเครือข่ายอำเภอ ธนาคารจะไม่ให้เบิกเงินในบัญชีของกองทุนหมู่บ้านที่ตนเองเป็นเจ้าของ ซึ่งในข้อเท็จจริง ตามระเบียบ สทบ.แห่งชาติ ไม่มีเอกสารดังกล่าว และกองทุนหมู่บ้านมีฐานะเป็นนิติบุคคล
และ 2) เข้าข่ายความผิดอาญา มาตรา 343 ฉ้อโกงประชาชน โดยมีการปิดบังข้อเท็จจริง ว่าจะต้องมีลายเซ็นของประธานเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านอำเภอ โครงการถึงจะผ่านและสามารถเบิกถอนเงินได้ ซึ่งตามระเบียบของ สทบ.แห่งชาติ ไม่เป็นจริงตามนั้น และถ้ากองทุนใดไปขอลายเซ็น ประธานอำเภอก็จะแจ้งว่า จะต้องเอาผู้ประกอบรายที่ประธานเครือข่ายอำเภอแจ้งเท่านั้น จึงจะลงนามในเอกสารให้









