ตั้งแต่ “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษ 2020 ถูกพักการแข่งขันตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังเจอพิษ “ไวรัสโควิด-19” เล่นงานไปทั่วทุกประเทศ หลายฝ่ายก็ยังถกเถียงกันไม่หยุดว่า “ควรกลับมาแข่งต่อ” หรือ “ยกแชมป์” ให้กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมนำบนตาราง โกยแต้มทิ้งห่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ซิตี 25 แต้ม ต้องการเพียง 6 แต้ม ก็จะผงาดเป็นแชมป์ในรอบ 30 ปีทันที แม้จะมีกระแสว่า “ลีกลูกหนังเมืองผู้ดี” ไม่ควรลงแข่งต่อและยกแชมป์ให้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แต่ล่าสุดทั้ง 20 สโมสรในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้ยืนยันที่จะเล่นฤดูกาลนี้ให้จบ แต่ก็ขึ้นอยู่กับ “รัฐบาลอังกฤษ” ที่จะไฟเขียวให้หรือไม่ โดยหลังการประชุมล่าสุดมีการพูดคุยหลายเรื่องรวมถึงความเป็นไปได้ในการใช้สนามกลาง เพื่อแข่งต่อให้จบ และเป็นการแฟร์ ต่อโควตายุโรป และทีมตกชั้น มีรายงานจากสื่อดังของอังกฤษว่า หลายสโมสรในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังวางแผนเรียกนักเตะกลับมาฝึกซ้อม โดยกำลังวางมาตรการให้นักเตะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า อย่างไรก็ตาม จากการคำนวณจำนวนนักเตะ ทีมงาน เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนแล้วนั้น คาดว่าตัวเลขน่าจะอยู่ที่ประมาณ 200-300 คน ทำให้เป็นไปได้ว่า ถึงแม้ “ลีกอังกฤษ” จะมีการกลับมาแข่งในสนามปิดที่ไม่มีผู้ชม แต่ก็จะต้องมีผู้ที่เกี่ยวข้องในการแข่งขันอย่างน้อย 300 คนขึ้นไปต่อการลงสนาม 1 ครั้ง และที่แน่ๆ แฟนบอล “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จ่าฝูงปัจจุบัน ต่างคาดหวังการกลับมาลงสนามอีก แต่ทาง “ดาเมียง โกมอลลี” อดีตผู้บริหารของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ออกมาแสดงความเป็นกังวลว่า หากเรียกนักตะกลับมาลงสนามซ้อม อาจทำให้นักเตะกลับมาติดเชื้อ “ไวรัสโควิด-19” หากกลับมาลงสนามกันอีกครั้ง “ถ้าหากพรีเมียร์ลีกกลับมาลงสนามแล้วนักเตะมีการติดเชื้อไวรัส อาจจะรุนแรงจนเสียชีวิตหรือปอดถูกทำลายอย่างรุนแรง ถ้าหากเขาไม่สามารถเล่นฟุตบอลได้อีก มันจะเกิดอะไรขึ้น?” อย่างไรก็ตามแม้จะยังไม่มีคำตอบอะไรออกมาชัดเจน แต่ “The Stats Perform” ทีมงานที่ทำงานเกี่ยวกับการใช้ “AI” ในการคำนวณค่าสถิติต่าง ๆ ในวงการกีฬาก็ได้ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าหากว่าการแข่งขันสามารถกลับมาแข่งต่อได้จนจบแล้วจะเกิดอะไรขึ้น 1.“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ทำสถิติใหม่ ผลที่ออกมาอาจจะถูกใจสาวก “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล ทั่วโลก เมื่อคอมพิวเตอร์บอกว่า พวกเขาจะกลายเป็นแชมป์ที่ทำแต้มได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ “พรีเมียร์ลีก” และยังเป็นสถิติตลอดกาลของการแข่งขันฟุตบอลลีกในอังกฤษอีกด้วยนั่นหมายความว่า “หงส์แดง” จะไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ทุกนัดในเกมที่เหลือ ซึ่งอาจจะมีเกมที่แพ้บ้าง แต่ท้ายที่สุด 2.“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสฯซิตีคว้าอันดับ 2 เมื่อ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ไปแล้ว “เรือใบสีฟ้า” แมนฯ ซิตี ก็ต้องซิวอันดับ 2 ตามระเบียบ ซึ่งเมื่อ AI คำนวณออกมาพวกเขาจะเก็บได้ 80 คะแนน และทำให้กลายเป็นทีมอันดับ 2 ที่มีคะแนนห่างจากแชมป์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 21 คะแนนเลยทีเดียว 3.“ผีแดง” แมนฯ ยูฯ ล้มเหลวได้อันดับ 5 ตำแหน่งที่กำลังลุ้นกันก่อนหน้าที่จะหยุดการแข่งขันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็คือ “ท็อปโฟร์” ซึ่งเมื่อดูจากคะแนนในตอนนี้จะพบว่า “สิงโตน้ำเงินคราม “เชลซี ยังคงรั้งอันดับ 4 ด้วยการมี 48 คะแนนจาก 29 นัด ส่วน “ผีแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นตามหลังเพียง 3 คะแนนโดยมี 45 คะแนนจาก 29 เกมเท่ากัน และเมื่อ AI ทำการคำนวณออกมาพบว่าอันดับไม่ขยับแต่อย่างใด จบ 38 นัด “สิงโตน้ำเงินคราม “เชลซี ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด สามารถกอดที่ 4 ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นด้วยการมี 63 คะแนนมีแต้มห่างจาก “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี ทีมอันดับ 3 อยู่ 4 คะแนน ส่วนทีมอันดับ 5 ก็เหมือนเดิมคือ “ผีแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งจบซีซั่นตามหลัง “สิงโตน้ำเงินคราม “เชลซี อยู่ 2 คะแนน แต่ก็อาจจะได้ไปเล่น แชมเปียนส์ลีก เนื่องจาก “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ไม่น่าจะอุทธรณ์กรณีไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์ผ่าน ส่วน อันดับ 6-8 ก็ไล่กันลงมาเป็น “ไก่เดือยทอง” ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน และ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ซึ่งหมายความว่าทีมของ “มิเกล อาร์เตตา” อดไปแม้กระทั่ง ยูโรปาลีก ในซีซั่นหน้า ผลการคำนวณค่า “AI” ที่ออกมา เชื่อว่า “สาวกหงส์แดง” คงจะหน้าบานเป็นจานกระด้ง โอ้อวดชาวบ้านได้อีกนานแสนนาน แม้จะมี “ไวรัสมรณะ” มาเป็นมารผจญ อุตส่าห์จะได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ครั้งแรก ในรอบกว่า 30 ปีอยู่รอมร่อทั้งที เหมือน “แชมป์ก็อยากได้ โควิดก็น่ากลัว!!” และคงเป็นเรื่องน่าเสียดายหาก “สาวกผู้จงรักภักดี” ไม่สามารถฉลองแชมป์ได้อย่างเต็มที่ เหมือนทำอะไรไม่สุดสักอย่างว่ามั้ยครับ