ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต “แล้วโลกก็ถึงกาลที่ต้องเผชิญหน้ากับหายนะแห่งโรคภัย...สู่ความวิบัติที่ยากจะควบคุมและป้องกัน นานาชีวิตต้องเผชิญหน้าอยู่กับการรุกรานของความเจ็บป่วย ที่รุกกระหน่ำเข้าโจมตีภาวะชีวิตจนยากจะเอาตัวรอด คนที่แข็งแกร่งในจิตวิญญาณเท่านั้นที่จะคงอยู่ได้...ส่วนที่ผู้เปราะบางและอ่อนไหวจักต้องสูญสิ้นไปจากการดำรงอยู่อันถาวร...มันคือการรุกคืบสู่การทำลายตัวตน กระทั่งความหมายสำคัญในนามของชีวิตที่หาได้ศักดิ์สิทธิ์ดั่งที่เคยเป็นแต่อย่างใดไม่!...มันคือรากเหง้าแห่งภาพเงาใหม่แห่งการมีชีวิตอยู่ที่ชวนตื่นตระหนก และหวั่นไหวอยู่กับใจแห่งยุคสมัยอยู่ไม่น้อย” ปฐมบทแห่งความคิดดังกล่าว สื่อสารผ่านวรรณกรรมแห่งยุคสมัยที่ได้รับรางวัล “2018NATIONAL BOOK AWARD IN TRANSLATED LITERATURE(USA)...” “ผู้อัญเชิญไฟ” (The Emissy)... ในโครงสร้างแห่งสังคม อันไม่พึงประสงค์และน่าหวาดกลัว(DYSTOPIA)...สังคมที่ตกอยู่ในสถานะที่เลวร้ายไม่ว่าจะเป็น จากระบบการปกครองที่ผู้ปกครองมีอำนาจตายตัวเบ็ดเสร็จ หรือสังคมที่ถูกรุกรานและครอบงำจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ..กระทั่งกลายเป็นเงื่อนไขแห่งปมปัญหาที่ยากจะเยียวยาแก้ไข ภาวการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสภาพที่โหดร้ายรุนแรง..และทุกสรรพสิ่งจะตกอยู่กับความมืดดำและเลวทราม...ซึ่งตรงกันข้ามกับสังคม “UTOPIA” อันเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ที่ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนสื่อแสดงถึงความสุขสบายตามนัยภาษาตลอดจนศรัทธาแห่งความมีอยู่ของกรีกโบราณ..ที่ได้แสดงนิยามเอาไว้/....ว่ากันว่า...ผู้ที่ใช้คำนี้เป็นคนแรก เมื่อปี ค.ศ. 1868 คือ “จอห์น สจวร์ต มิลล์” นักเศรษฐศาสตร์ คนสำคัญของโลกชาวอังกฤษ ผู้มีความเชื่อว่า.. “กฎของการผลิตเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้ แต่กฎของการกระจายผลผลิตเป็นสิ่งที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงได้” หนังสือเล่มนี้สื่อสารออกมาในรูปลักษณ์ของนวนิยายขนาดสั้น(NOVELETTE)โดยนักเขียนหญิงชาวญี่ปุ่น ผู้ไปศึกษาทางด้านวรรณกรรมสมัยใหม่ที่ประเทศเยอรมนี และได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น “โยโกะ ทาวาดะ” (YOGO TAWADA)..เธอใช้น้ำเสียงที่จริงจังหนักแน่น..แต่กลับเนิบช้าในลีลาการเล่าเรื่อง ซึ่งมันคือการพินิจพิเคราะห์ถึงห้วงขณะที่โลกต้องตกอยู่ในหายนะภัย ผ่านฉากแสดงคือประเทศญี่ปุ่นอันเป็นบ้านเกิดของเธอ... จินตนาการของโยโกะ...เต็มไปด้วยฝุ่นผงอันเป็นพิษ และหมอกควันที่สามารถคร่าชีวิตของผู้คนได้ในทุกๆขณะ...ฉากแห่งชีวิตที่ญี่ปุ่นจำเป็นและตั้งใจที่จะต้องปิดประเทศอย่างจริงจังอันเป็นเงื่อนไขสำคัญของเรื่อง ภายหลังจากเกิดภัยพิบัติอันยากจะควบคุม คือนัยสำคัญต่อเจตจำนงที่ว่า พวกเขาต้องการที่จะสร้างอนาคตขึ้นมาใหม่ ด้วยการยืนยันที่จะปิดประเทศตัวเองจากความเป็นอื่นภายนอกเพื่อจะเยียวยาประเทศให้กลับมาสู่ความสมบูรณ์ใหม่อันถาวร..ท่ามกลางปรากฏการณ์ของสิ่งที่หลงเหลือที่กลับด้านของความเป็นจริงไปอยู่ในมิติโครงสร้างทางสังคมที่เหนือคาดคิด.. นั่นก็คือว่า..คนที่อ่อนแอด้วยวารวัยอย่างคนแก่ที่มีอายุ กลับไม่ตาย พวกเขากลับเข้มแข็ง มีทั้งศักยภาพและเรี่ยวแรงที่จะอยู่รอดได้อย่างมั่นคง ซึ่งก็ตรงข้ามกับเด็กๆที่คาดกันว่าอายุอานามของพวกเขาจะช่วยให้แข็งแรงและกล้าแกร่ง...แต่การณ์กลับเป็นว่าพวกเขากลับมีชีวิตที่อ่อนแอ และอ่อนล้าเกินไปที่จะค้ำยันสังคม...หน้าที่รับผิดชอบอันสำคัญนี้จึงต้องตกอยู่กับบรรดาคนแก่ ผู้สูงอายุที่มีอายุยืนยาวจนกลายเป็นเสาหลักของสังคมไป...เด็กๆทั้งหลายในสังคมกลับอายุสั้น ไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถเกิดมาเป็นตัวแทนของอนาคตได้...นี่คือปมปัญหา ที่เป็นเงื่อนงำสำคัญของนวนิยายแห่งบทสะท้อนของยุคสมัยเรื่องนี้/...การประคับประคองและจัดการกับสภาวะชีวิตของเด็กๆกลายเป็นภาระรับผิดชอบที่หนักอึ้งของคนแก่ รวมทั้งเงื่อนไขอันเลวร้ายจากธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น อากาศเป็นพิษ หรือน้ำที่ปนเปื้อนจนเน่าเสีย...อีกทั้งกลไกของสังคมที่เหมือนจะจมปลักอยู่อาการหนักของการป่วยไข้...นับแต่การเจ็บไข้ได้ป่วยที่รุกระบาดจนสุดจะยับยั้ง..ที่สุดแล้วก็กลายเป็นเรื่องปกติจนไร้ซึ่งความใส่ใจ...นี่ยังไม่นับรวมถึงอำนาจอันเหลวแหลกทางการเมืองการปกครองที่ถึงขนาดทำให้ ภาษา และ ข่าวสารทั้งหลายต้องถูกควบคุมและปิดตายลง ภาพรวมในลักษณะที่ขาดดุลยภาพเช่นนี้..สื่อผ่านมุมมองของโยโกะ..ด้วยสัมผัสแห่งรสชาติทางประพันธกรรมที่น่าสะพรึงกลัวและชวนหวาดหวั่นยิ่ง....การบรรยายบอกกล่าวใจความของเรื่องราวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในแต่ละช่วงตอน เปรียบเสมือนการดึงตัวตนของผู้อ่านให้เข้าไปร่วมในหลุมบ่อแห่งหายนะในแต่ละส่วนอย่างบีบคั้นและจงใจ...ผ่านความย้อนแย้งในโลกแห่งความเป็นจริง ที่เราต่างรู้ดีว่า...จริงๆแล้วสังคมญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับสังคมผู้สูงอายุที่ท่วมท้นพื้นที่ชีวิตจนยากจะรับมือไหว...มันคือโครงสร้างของโลกโดยรวมที่เราต่างต้องรับรู้และรับผิดชอบร่วมกัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่วัยหนุ่มสาวที่จะต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วย พลัง และเลือดเนื้อที่เข้มแข็ง...ภาพสะท้อนแห่งภาพสะท้อนที่โยโกะ...จงใจนำเสนออย่างกลับด้าน เหมือนดั่งเป็นการสื่อสารถึงความจริงแห่งรูปลักษณ์และเจตจำนงแห่งความเปราะบางของยุคสมัย ที่ไม่ได้หล่อหลอมคนยุคใหม่ให้กล้าแกร่งและพร้อมที่จะสู้ชีวิต มันคืออาการแห่งผู้คนของสังคมโลกที่เป็นเหมือนๆกันหมด...เหตุนี้...ใครเล่าที่จักสามารถหล่อหลอมชีวิตแห่งยุคสมัยให้มีประกายความหวังที่ลุกโชน ใครหรือผู้ใดที่จะมีน้ำอดน้ำทนที่จะปกป้องและหล่อหลอมชีวิตให้เป็นชีวิตได้...ไฟแห่งการหล่อหลอมและที่มาแห่งประกายชีวิตของมัน จึงถูกถามหาผู้อันเชิญความเป็นจริงสู่หลุมบ่อแห่งหายนะเพื่อที่จะก้าวข้ามพ้นมันไป...สู่โลกแห่งความวาดหวังที่ยืนยง... เหมือนว่า..โยโกะ...จะสื่อบอกแก่ผู้อ่านว่า...ความหวังของโลกวันนี้...ความหวังต่อความอยู่รอดของผู้คน ณวันนี้เหลือน้อยลงเต็มที...เราไม่มีจุดบรรจบที่เป็นกลางอันเหมาะสม...แต่กลับเป็นว่าเราต่างอยู่ระหว่างจุดท้ายสุดที่ใกล้ชิดกับความตาย กับจุดเริ่มต้นแห่งความตายที่เปราะบางรายวันที่ไม่ยอมขึ้นอยู่และใส่ใจต่ออายุขัยใดๆมากกว่า แรงเร้าทางความคิดที่ได้รับอย่างหนักหน่วงจากการอ่าน “ผู้อัญเชิญไฟ” ย่อมคือปริศนาคำถามที่ล้วนถูกข้ามผ่านจากการพินิจพิเคราะห์...การไม่ใส่ใจต่อสถานะและบทบาทของการมีชีวิตอยู่ทำให้เรามองไม่เห็นทั้งตัวปัญหา...ที่มาของปัญหา และบทสรุปของปัญหาอะไรเลย...นัยความคิดแบบเพ่งพินิจอนาคต(FUTURISTIC THINKING)ของโยโกะ..ที่เกิดจากจินตนาการ...กำลังล่วงสู่ความเป็นจริงที่ดิ้นไม่หลุด ของโลกยุคใหม่ที่เหมือนจะเป็นต้นฉบับแห่งการลอกเลียนกันมา..แท้จริงมันคือผลรวมแห่งการคาดคะเนถึงเหตุการณ์ที่คาดเดาได้ไม่ยาก... ครั้นเมื่อมาถึงวันนี้ทั้งโรคระบาด และความแก่ชราของผู้คน กำลังเป็นพายุใหญ่แห่งปรากฏการณ์ ที่กำลังขึงพืดประเทศญี่ปุ่นและประเทศต่างๆทั่วโลก ด้วย บรรยากาศและลักษณาการที่ไม่ผิดไปจากกัน...บริบทนี้เกิดขึ้นอยู่ซ้ำๆ...เป็นรอยบาดเจ็บของสิ่งที่เลวร้ายที่มวลมนุษย์จักต้องยอมรับมันให้ได้..ในทุกๆแง่มุม “ผู้อัญเชิญไฟ”...ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหลักสองตัว...คือทวดกับเหลนที่มีอายุห่างจากกัน..จนสัมผัสได้ถึงความแปลกต่างในชีวิต…โยชิโร คือคนแก่ที่ที่กลายเป็นตัวละครขับเคลื่อนสังคมที่ไร้ความหวัง..ให้ก้าวหมุนไปข้างหน้า..ทดแทนเหล่าเด็กๆที่อ่อนแอ ไม่สบายง่าย และไร้พลังที่จะนำพาสิ่งใด...คนแก่ในบริบทของเรื่องแบ่งออกเป็น 3 ช่วงอายุ..คือช่วงหนุ่มซึ่งมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป/ช่วงกลางนับตั้งแต่อายุ 90 และช่วงท้ายสุดตั้งแต่อายุ 100 ปีขึ้นไป คนแก่เหล่านี้ล้วนกล้าแกร่ง แข็งแรง พวกเขาอยู่เหนือสังขารและพร้อมที่จะเป็นผู้นำ..อาจวิเคราะห์ได้ว่าต้นรากของคนญี่ปุ่นโดยเนื้อแท้แห่งชีวิตจริงในประวัติศาสตร์ ผู้ชายคือบุคคลที่อยู่ในวิถีนักรบ เป็นนักสู้ทั้งในศึกสงครามและสมรภูมิชีวิตมาโดยตลอด พวกเขาจึงดำรงอยู่โดยไม่หวาดหวั่นและพ่ายแพ้ต่อความอ่อนแอ และเปราะบางใดๆ/ ซึ่งก็ผิดกับเด็กรุ่นเหลนที่เทียบเท่ากับเด็กญี่ปุ่นและเด็กทั่วโลกที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม...ขาดการเผชิญกับอุปสรรคในชีวิตและมรสุมแห่งชะตากรรมของโลก...พวกเขาถูกอุ้มชูมาด้วยอ้อมกอดของการตามใจจนกระทั่งไม่มีโอกาสที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤติของชีวิต...อันเป็นเหตุให้กายและใจของพวกเขาต้องติดบ่วงอันเป็นมายาคติของความอ่อนแอ...พร้อมด้วยสำนึกที่หลงติดอยู่กับสัญชาตญาณแห่งความหลงตัวและสำคัญผิดในตัวเองว่าพวกเขายังคงมีตัวตนที่เปี่ยมเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงอยู่.. “...มุเมอิ”...ผู้เป็นเหลนตัวละครเอกในนวนิยายเรื่องนี้...คือนักแสดงที่สะท้อนภาวะแห่งการดำรงอยู่ของโลกผ่านภาวะสำคัญอันสืบเนื่องมาจากค่านิยมในการใช้ชีวิตของเขา ที่ถูกหลอมรวมขึ้นมาจากการเลี้ยงดูที่ตกอยู่ในขั้วตรงข้ามกับอดีตที่หนักแน่น...โลกยุคใหม่สอนเขาให้เป็นเพียงผู้รองรับอารมณ์แห่งสถานการณ์ ผู้พร้อมที่จะตายไปกับมิจฉาทิฐิที่ไร้สาระของตน..เท่านั้น “ครู่หนึ่งมุเมอิออกเดินอีก ถึงอย่างนั้นเดินไปได้สิบกว่าก้าวก็หยุดอีก แต่ละก้าวย่างล้วนเป็นการใช้แรงงาน” ภาพแสดงแห่งทัศนะของโยโกะ..ในฐานะผู้เขียนต่อบทบาทข้างต้นเปรียบได้ดั่งเครื่องชี้ทาง แห่งตราประทับของความเป็นชีวิต...ว่าตกอยู่ในสภาพใด...เหตุดั่งนี้โลก ณ ปัจจุบัน ที่จะ ข้ามผ่านไปสู่อนาคต จึงไร้ความหมายต่อความภาคภูมิ มันคือสัญญาณแห่งการก้าวย่างที่พร้อมจะสะดุดล้ม ซึ่งนั่นไม่ได้หมายถึงแค่บุคคลแต่มันหมายถึงนิยามของประเทศชาติที่จะถูกเผาไหม้จากความหยิบโหย่งและความไม่เอาไหนของผู้เป็นทายาทแห่งยุคสมัย..ซึ่งมันกลับกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวไปอย่างไม่น่าเชื่อ! “โยชิโรคิดว่า...คนในรุ่นตนไม่จำเป็นต้องฉลองการมีชีวิตที่ยืนยาว แม้ว่าการมีชีวิตอยู่นั้นน่าขอบคุณ การที่คนชรามีชีวิตอยู่เป็นเรื่องธรรมดา ไม่จำเป็นต้องมีการเฉลิมฉลอง แต่ควรฉลองให้กับเด็กที่มีอัตราการตายสูง ที่ในวันที่ยังมีชีวิตอยู่” สัจธรรมแห่งคำสอนตรงส่วนนี้คือข้อสรุปอันน่าขมขื่นของโลกแห่งความเป็นจริง....ซึ่ง แม้รสชาติ จากนวนิยายจะเคลื่อนขยายไปสู่การปรับแต่งแก้ไขในโครงสร้างของเรื่องแต่งได้...แต่ในโลกของการมีชีวิตอยู่ที่เป็นจริง...อารมณ์ความรู้สึกแห่งการสนองรับภาวะอันชวนหลอกหลอนดังกล่าวกำลังคืบคลานเข้ามาครอบคลุมโลก..การรุกรานของไวรัสตัวร้ายที่กำลังแพร่กระจายเป็นวิบัติแห่งยุคสมัยอยู่ในขณะนี้ เปรียบดั่งภาพขยายที่ตีคู่ขนานไปพร้อมกันระหว่างจินตนาการกับความเป็นจริง ที่แทบจะแยกส่วนของความเป็นบทบาทแห่งกันและกันไม่ออก จริงอยู่แม้ในโลกแห่งความเป็นจริง...คนแก่จะมีสภาพที่อ่อนแอและถูกเลือกที่จะกลายเป็นสิ่งทิ้งขว้าง...แต่มันก็ไม่มีหลักประกันอะไรเลยที่จะยืนยันได้ว่าเด็กๆของวันนี้จะเข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดฝ่าการรุกรานของภัยจากศัตรูที่มองไม่เห็นนี้ไปได้/...ความจริงในด้านกลับ..ความจริงในเชิงขวางที่ได้จากสาระเนื้อหาของนวนิยายเรื่องนี้...จึงเป็นดั่งบทสารภาพภาพบาปของคนบาปก่อนที่จะนำเข้าสู่หลักประหาร...เหมือนดั่งนั้น “ลองจินตนาการถึงช่วงเวลาที่ตนตายไปแล้ว แต่มุเมอิยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ก็เหมือนชนเข้ากับกำแพง เวลาหลังความตายของตนนั้นไม่มีอยู่ คนชราที่ได้รับร่างกายไม่ยอมตายอย่างพวกตนต้องเผชิญการส่งเหลนสู่ความตาย ซึ่งน่ากลัวเหลือเกิน” “ผู้อัญเชิญไฟ”...ถูกถ่ายทอดด้วยการแปลเป็นภาษาไทยอย่างลึกซึ้ง...พิถีพิถันในเจตจำนง และเห็นภาพแห่งสภาวการณ์ด้วยความเข้าใจโดย “มุทิตา พานิช” ผู้ที่เคยสร้างความประทับใจจาก “ชายไร้สีกับปีแสวงบุญ”...อันน่าจำ ...มันคือนวนิยาย..ที่แนบชิดกับปมประสาทสัมผัส...เป็นความแฝงเร้นที่เรียบง่ายด้วยบรรทัดฐานแห่งการตีความบทจรอันแปลกแยกของความจริง เหมือนจะมีอยู่แต่คล้ายกับไม่มีอยู่..เป็นดั่งพงศาวดารที่ถูกบันทึกไว้ด้วยหัวใจที่สั่นสะท้านและไม่แน่ใจ...โยโกะใช้ภาษาอันเป็นการเฉพาะทางวรรณกรรมของเธอปรุงแต่งนวนิยายเรื่องนี้ให้เข้มข้นในบทบาทต่อการแสดงความหมายอย่างเสียดแทง มันเนิบช้า..ชวนขัดแย้งเบื่อหน่าย แต่ก็ปลุกเร้าและกระทบความคิดโดยตลอด...นั่นเป็นฉากแสดงแห่งการเขียนที่กดจิตสำนึกของเราให้ทั้งจดจำและต่อต้านอย่างสุดขั้วระคนกัน “เด็กสมัยนี้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์มีชีวิตอยู่กับไข้ต่ำ มุมเมอิเองก็มีไข้ต่ำอยู่เสมอ” แต่แม้ว่าผู้ใหญ่ที่มีชีวิตในเรื่องนี้ทั้งหมดจะกล้าแกร่งและมีชีวิตรอดได้เพียงใดก็ตาม.../จะอายุเกินร้อย..หรือ มีชีวิตไม่ถึงวัยกลางคน..ทุกคนทุกสถานะก็ไม่อาจเชื่อมั่นได้ว่าแท้จริงใครคือ “ผู้อัญเชิญไฟ”...ใครคือตัวแทนแห่งความวาดหวังของอนาคตกาลกันแน่...ก็ในเมื่อยุคสมัยของวันนี้ไม่พยายามที่จะฟื้นตัวจากความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณ...ให้ขึ้นไปสู่การประจักษ์แจ้งในประกายไฟที่ลุกโชนต่อการมีชีวิตอยู่...แม้เมื่อใด! “ถึงเด็กตายไป ผู้ใหญ่ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้...แต่ถ้าผู้ใหญ่ตายไป เด็กย่อมอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน....”